ป.ป.ช. ได้รับการจัดตั้งขึ้นตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญให้มีฐานะเป็นองค์กรอิสระ มีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงทั้งปวง รวมทั้งการป้องกันแก้ไขปัญหาขาดจริยธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภทเพื่อให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองและร่มเย็นเป็นสุข
ดังนั้นโดยฐานะดังกล่าวของ ป.ป.ช. แต่ไหนแต่ไรมาจึงเป็นองค์กรที่มีเกียรติ มีเครดิตสูง และได้รับความเชื่อเป็นเบื้องต้นว่า ป.ป.ช. เป็นองค์กรอิสระ ไม่มีข้อขัดแย้งกับใคร ไม่มีเหตุที่จะให้ร้ายหรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเพราะเหตุส่วนตัว และด้วยเครดิตนี้จึงทำให้การดำเนินงานทั้งหลายของป.ป.ช. สะดวกราบรื่นจากองค์กรทั้งหลายรวมทั้งศาลยุติธรรม
เพราะเหตุนี้จึงมีเจ้าหน้าที่ของรัฐและเอกชนจำนวนมากถูกพิพากษาตามที่ ป.ป.ช. ดำเนินการทั้งทางแพ่งและทางอาญา บนพื้นฐานความเข้าใจและความเชื่อว่าเป็นเรื่องของความถูกต้องเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง
ในขณะที่เรื่องราวจำนวนมากยังมีปัญหาตกค้างขยายตัวจากผลแห่งการดำเนินการนั้นจนสุดคณานับ ดังเช่น กรณีการเพิกถอนโฉนดที่ดินในหลายพื้นที่ ซึ่งโฉนดที่ดินนั้นออกโดยกรมที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน เมื่อมีการเพิกถอน กรมที่ดินก็ต้องรับผิดชอบต่อผู้เสียหายที่ได้ที่ดินมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ซึ่งถึงวันนี้ตัวเลขคร่าวๆ ปรากฏว่ากรมที่ดินจะต้องรับผิดชอบต่อเจ้าของที่ดินที่ถูกเพิกถอนเป็นมูลค่านับแสนล้านบาท โดยไม่รู้จะหาผู้รับผิดชอบอย่างไรและจะดำเนินการกันอย่างไรต่อไป
ต่อมาปรากฏว่าหลังรัฐธรรมนูญ 2560 ได้ตราขึ้นแล้ว การแต่งตั้ง ป.ป.ช.จะต้องอาศัยความเห็นชอบของวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. ซึ่งคนทั้งหลายได้พบได้เห็นและเชื่อกันโดยทั่วไปว่า สว. จำนวนมากได้รับการแต่งตั้งเพราะความเป็นพวกพ้องและอยู่ใต้อาณัติของผู้มีอำนาจ ซึ่งย่อมมีผลต่อการให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้ง ป.ป.ช. ด้วย เพราะถ้าไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้มีอำนาจก็อาจไม่ได้รับความเห็นชอบในการแต่งตั้ง
ซึ่งข่าวคราวเรื่องนี้ดังกระฉ่อนไปทั้งประเทศอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมานี้และล่าสุดได้ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่า ป.ป.ช. บางคนก่อนจะได้รับความเห็นชอบก็ต้องเข้าไปสักการะผู้มีอำนาจเพื่อรับปากให้เป็นสัตย์ว่าจะทำตามคำสั่งของผู้มีอำนาจนั้นและจะช่วยกำจัดขัดขวางผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องเป็นข่าวฮือฮาอยู่ในทุกวันนี้
แม้กระทั่งข่าวคราวที่ว่าบุคคลสำคัญใน ป.ป.ช. ก็เป็นคนสนิท เป็นผู้รับใช้ผู้มีอำนาจมาแต่ก่อน ดังนั้นตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้จึงมีข่าวคราวเศร้าหมองกระทบต่อ ป.ป.ช. อย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีเรื่องใดชัดเจนเป็นหลักฐานมั่นคงเท่ากับกรณีที่ ป.ป.ช. ไม่ยอมรับปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครอง ที่ให้เปิดเผยรายงานการตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมืองเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริต และโดยไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ จนกระทั่งศาลปกครองต้องออกคำบังคับซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนแก่ส่วนราชการใดๆ แม้ขนาดนั้นแล้วก็ไม่ยอมปฏิบัติ เข้าลักษณะจะเป็นจะตายก็ขอปกป้องนักการเมืองผู้มีอำนาจเอาไว้ก่อน จนในที่สุดศาลปกครองต้องมีคำสั่งลงโทษทางอาญาให้ปรับ ป.ป.ช. 10,000 บาท ถ้าไม่ชำระค่าปรับให้ยึดทรัพย์ชำระค่าปรับ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนกับหน่วยงานใดๆ ของรัฐ
ปานนั้นแล้วก็ไม่มีการปฏิบัติ จนนายวีระ สมความคิดโจทก์ ต้องไปยื่นคำร้องขอให้ศาลปกครองออกหมายจับ ป.ป.ช. ไปขังไว้จนกว่าจะปฏิบัติตามคำบังคับของศาล ซึ่งขณะนี้ศาลกำลังไต่สวนคำร้องขอดังกล่าว
นอกจากนั้นพฤติกรรมบางอย่างก็ถูกเปิดเผยออกสู่สาธารณะมากขึ้น จนน่าวิตกต่อหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เช่น กรณีของศาลอาญาทุจริตภาค 2 ที่ได้วินิจฉัยคดีที่ ป.ป.ช. ฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ของรัฐคดีหนึ่งว่าเป็นการไม่ถูกต้อง ไม่ยุติธรรม และไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เหตุผลเพราะมีการชี้มูลความผิดอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องทำการไต่สวนภายในอายุความ แต่ปรากฏว่าคดีขาดอายุความจึงมีการตั้งข้อหาเพิ่มที่ทำให้อายุความขยายออกไป และเป็นเหตุให้ศาลอาญาทุจริตภาค 2 ต้องพิพากษาดังกล่าวนั้น
นอกจากนั้นยังมีหลายกรณีที่ผู้เสียหายจากการไต่สวนตรวจสอบของ ป.ป.ช. กำลังฟ้องคดีกรรมการ ป.ป.ช. เป็นคดีอาญา ซึ่งจะต้องติดตามดูผลแห่งคดีกันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร
มีข้อสังเกตว่า ในบางคดีที่นักการเมืองสำคัญเป็นจำเลย ป.ป.ช. กลับไต่สวนคดีล่าช้าจนคดีขาดอายุความ เช่น กรณีนักการเมืองบ้านใหญ่จังหวัดชลบุรี เป็นต้น ซึ่งแม้จะถือว่าเป็นการละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบหรือโดยทุจริตแล้ว แต่ความไม่ชอบหรือความทุจริตนั้นก็เป็นไปเพื่อช่วยเหลือนักการเมืองคนเดียวให้พ้นจากคดี ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับการให้คดีที่ขาดอายุความแล้วเป็นไม่ขาดอายุความด้วยการตั้งข้อหาเพิ่มเติมเพื่อให้อายุความขยายออกไป เพื่อเอาผิดเอาโทษกับผู้ที่ถูกดำเนินคดีไม่ได้
นอกจากนั้น ป.ป.ช. เองก็ไม่ได้มีอำนาจบาตรใหญ่จนไร้ขอบเขต เพราะกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับ ป.ป.ช. นั้นได้กำหนดเวลาการใช้อำนาจของ ป.ป.ช. ไว้ว่าจะตรวจสอบไต่สวนได้ภายในเวลาไม่เกิน 2 ปี นับแต่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้พ้นตำแหน่งนั้น และปรากฏว่ามีหลายคดีดังเช่นคดีชั้นอุทธรณ์ของศาลอาญาทุจริตภาค 8 ที่จำเลยหลายคนที่ไม่ได้ตัวมาฟ้องและเกษียณอายุไปเกิน 2 ปีแล้ว แต่ ป.ป.ช.ก็ยังตรวจสอบไต่สวนและนำคดีมาฟ้องเอง ซึ่งบรรทัดฐานของกฎหมายในระบอบนิติรัฐของประเทศไทยนั้นถือว่าเมื่อป.ป.ช. ไม่มีอำนาจตรวจสอบไต่สวนแต่ต้นแล้ว การตรวจสอบไต่สวนนั้นก็เสียไป ไม่มีอำนาจนำคดีนั้นมาฟ้องต่อศาลได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงอายุความ
ยิ่งหากเป็นการตั้งข้อหาใหม่เพิ่มเติมจากที่เคยชี้มูลความผิดเพื่อให้อายุความขยายออกไปด้วยแล้วก็ยิ่งเป็นการกระทำที่ถือได้ว่าไม่ชอบ ไม่ยุติธรรม และไม่ถูกต้อง ตามบรรทัดฐานที่ศาลอาญาทุจริตภาค 2 ได้พิพากษาไว้นั้น
นอกจากนั้น ในเรื่องปัญหาข้อเท็จจริงก็ยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น เพราะในบางครั้งสิ่งที่ดูเหมือนฟังได้เชื่อได้ แต่แท้จริงแล้วเชื่อไม่ได้ฟังไม่ได้ ดังเช่น
การออก น.ส. 3 หรือโฉนดที่ดิน แล้วอ้างว่าได้สอบถามกรมพัฒนาที่ดินแล้วว่าในพื้นที่นั้นไม่มี น.ส. 3 ก. ที่พิพาทเลย ซึ่งดูเหมือนว่าน่าจะเชื่อถือได้แต่แท้จริงแล้วใช้ไม่ได้ เพราะอำนาจหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับที่ดินนั้นเป็นอำนาจของกรมที่ดินตามกฎหมาย ซึ่งอาจมีกรมป่าไม้ หรือ ส.ป.ก. หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมรับผิดชอบด้วย ในขณะที่กรมพัฒนาที่ดินนั้นไม่มีหน้าที่เลย เพราะมีหน้าที่ดูแลเรื่องดินเค็ม ดินเปรี้ยว หรือดินชุ่มน้ำ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกันดังนั้นจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการรับฟังข้อเท็จจริงและพิจารณาข้อกฎหมายในสถานการณ์เช่นนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี