เมื่อวานนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ “ขอทาน” ในกรุงเทพมหานคร
มีประเด็นน่าสนใจ ควรขบคิด และหาทางแก้ปัญหา
1. ขอทาน รายได้ดีขนาดไหน?
นายวราวุธ รมว.พม. เปิดเผยว่า จากการสอบถามผู้ทำการขอทานในเรื่องรายได้นั้น ถ้าหากเป็นช่วง High Season พบว่าเคยมีรายได้เกือบ 100,000 บาท
โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมาก
“...ด้วยความที่ไม่รู้ จะมีการให้กันอยู่เรื่อยๆ รายได้ที่พบว่าเกือบ 100,000 บาทไม่แน่ใจว่าเป็นรายได้คนเดียวหรือทำเป็นกลุ่ม ซึ่งการขอทานทุกวันนี้ บางครั้งมีการทำงานกันเป็นขบวนการ
ซึ่งลักษณะนี้ คนที่เป็นตัวการใหญ่จะต้องถูกดำเนินคดี ถ้าหากเราสามารถจับได้ว่ามีการใช้บุคคลใด หรือกลุ่มบุคคลใด มาทำการขอทาน
บางครั้งคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาวางแผนว่าใครควรอยู่จุดไหน แล้วได้จำนวนเงินหลักหมื่น แต่ถ้าหากรวมรายได้กันหลายๆ คนเป็นกลุ่ม แล้วจะได้เงินเกือบ 100,000 บาท ก็อาจจะเป็นไปได้
ส่วนด้านค่าปรับ เมื่อถูกจับแต่ละครั้ง จะเริ่มต้นที่หลักพันจนถึงหลักหมื่น
สมมุติถ้าหากรายได้เดือนละประมาณ 20,000 บาท แต่ถูกปรับ 5,000 บาทยังเหลือรายได้อีก 15,000 บาท ในมุมมองของคนที่มาทำการขอทานถือว่าคุ้มค่า
ดังนั้น การที่เราให้ทานไปนั้น เราก็เหมือนสนับสนุนให้มีผู้ทำการขอทานมากขึ้น
และที่สำคัญกว่านั้น คือ การขอทานเป็นสิ่งผิดกฎหมาย...” - รมต.วราวุธ กล่าว
2. ยุคนี้ ภาครัฐดำเนินการอย่างไรกับ “ขอทาน”
รมว.พม. วราวุธ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา กระทรวง พม. ได้มีการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
“เราได้ออกตรวจตราขั้นต่ำเดือนละประมาณ 5 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งเราจะมีการดำเนินการกับผู้ที่ทำการขอทาน
ถ้าหากพิสูจน์แล้วว่าเป็นชาวต่างชาติ จะมีการส่งตัวกลับไปยังประเทศต้นทาง
ถ้าหากตรวจพบว่าเป็นคนไทย จะมีวิธีการดำเนินการต่างกันไป เราจะส่งไปที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ที่ในความดูแลของกระทรวง พม. จากนั้น จะมีการฝึกวิชาชีพ และสนับสนุนในการหางานทำ”
มีบางท่านที่เป็นคนไทย เข้าสู่ระบบแล้ว แต่กลับออกมาทำการขอทานใหม่ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจะมีการดำเนินคดี
ส่วนการผลักดันขอทานชาวต่างชาติออกนอกประเทศ แต่ยังมีการวนกลับมาทำการขอทานซ้ำนั้น รมต.พม.กล่าวว่า คงต้องขอความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะกระทรวง พม. ไม่สามารถไปตรวจตราตามเขตชายแดนได้ ต้องสอบถามไปยังหน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับตรวจคนเข้าเมือง หรือตามช่องทางธรรมชาติ ว่าจะมีแนวทางในการดำเนินการอย่างไร เนื่องจากเจ้าหน้าที่ พม. มีหน้าที่ในการดูแล กรณีที่พบเจอผู้ทำการขอทานแล้ว ถ้าจะให้ไปอยู่ตามจุดผ่านแดนนั้นไม่สามารถทำได้ เนื่องจากกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจไว้
3. เข้าสู่ระบบช่วยเหลือของภาครัฐแล้ว แต่กลับมาขอทานอีก?
รมว.พม. เผยว่า สาเหตุที่ผู้ทำการขอทานกลับมาขอทานซ้ำ มีสาเหตุหลักๆ อยู่ด้วยกัน 2 ประเด็น คือ
1) ค่าปรับในการถูกดำเนินคดีน้อยกว่ารายได้ที่ได้รับ
และ 2) มีรายได้ดี
มีขอทานบางส่วน ผู้ทำการขอทานมีรายได้ดี จนกระทั่งทำให้ไม่กลัวการเสียค่าปรับตามที่กฎหมายกำหนดไว้ รู้สึกคุ้มค่าที่จะกลับมาทำการขอทานซ้ำ
ถามว่า รายได้ดีของผู้ทำการขอทานนั้นมาจากไหน? นั่นคือนักท่องเที่ยวและคนในสังคม
เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่เอื้ออาทร และมีความสงสาร ซึ่งผู้ทำการขอทานรูปแบบใหม่จะมีการใช้เด็กและสัตว์เลี้ยง
ถ้าหากพบว่าเป็นเด็กมาทำการขอทาน เราจะรีบดำเนินการเบื้องต้น คือ พิสูจน์ว่าเด็กกับผู้ที่มาด้วยกันนั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองทางเครือญาติกันหรือไม่ ถ้าหากพบว่าไม่ใช่ จะมีการดำเนินคดี
ที่ผ่านมานั้น ตั้งแต่ปี 2557 สามารถจับผู้ทำการขอทานได้ประมาณเกือบ 8,000 คน ซึ่งร้อยละ 30 เป็นชาวต่างชาติ ที่เหลือเป็นคนไทย
“แต่การที่มีขอทานวนเข้ามาอยู่เรื่อยๆ และมีปริมาณเพิ่มขึ้น คงต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนให้หยุดการให้ทาน
เนื่องจากการสอบถามผู้ทำการขอทาน มักจะได้คำตอบเดียวกันว่า มีรายได้ดีและไม่ต้องเสียภาษี จะดำเนินการที่ใดก็ได้ ถ้าโดนจับไป จำนวนค่าปรับที่ต้องจ่ายก็น้อยกว่ารายได้ที่ได้รับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนขอทานที่พบมากที่สุด คือ ในกรุงเทพมหานคร ในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวชุกชุมจำนวนมาก” – รมว.วราวุธ กล่าว
นายวราวุธ ย้ำว่า ขอความร่วมมือให้หยุดการให้ทาน เพราะถ้าหากรายได้ไม่ดี คงไม่มีใครอยากมาขอทาน
4. ข้อมูลข้างต้นจาก รมว.พม. อาจทำให้หลายท่านอึ้ง
หนึ่ง อึ้งกับรายได้ของขบวนการขอทาน
สอง อึ้งกับวิธีคิดในการแก้ปัญหาที่ไม่ใช่เรื่องจะมาโลกสวยกันแบบในอดีต
เพราะเมื่อมองขบวนการขอทาน เป็นขบวนการหาผลประโยชน์ในรูปแบบหนึ่ง
โดยมองแบบเศรษฐศาสตร์ ก็จะเข้าใจเหตุผลและการตัดสินใจของมนุษย์ แบบไม่ใช่เรื่องโลกสวย หรือสังคมสงเคราะห์เท่านั้น
ดังนั้น การเข้าสู่ธุรกิจขอทาน ก็จะต้องดูมูลเหตุจูงใจ คือ ผลประโยชน์ที่ได้รับ ชั่งน้ำหนักกับความเสี่ยงและต้นทุนที่จะถูกจับกุม
จึงกลายมาเป็นคำแนะนำที่อาจจะดูไร้มนุษยธรรม (แต่ตอบโจทย์ในโลกความเป็นจริงหากต้องการแก้ปัญหา) ที่ว่า “ขอความร่วมมือให้หยุดการให้ทาน เพราะถ้าหากรายได้ไม่ดี คงไม่มีใครอยากมาขอทาน”
นี่คือการมองแบบเศรษฐศาสตร์ เพื่อแก้ปัญหาทั้งระบบ
ส่วนเรื่องมนุษยธรรม ก็ต้องดำเนินการควบคู่กันไป อย่างที่ พม.ดำเนินการคือ การฝึกอาชีพ และสนับสนุนการหางานให้ทำ
เมื่อฝึกอาชีพให้ก็แล้ว หางานให้ทำก็แล้ว แต่ถ้ายังกลับมาขอทานอีก ก็แปลได้อย่างเดียวว่า เป็นเพราะการมาขอทานนั้น มีรายได้ดีกว่าการทำงาน หรือเหนื่อยน้อยกว่า เสี่ยงถูกจับก็ยอม
อย่ามาโลกสวยอ้างว่า ไม่มีใครอยากเสียศักดิ์ศรีมาขอทาน เป็นตรรกะเพื่อเข้าข้างคนทำผิดกฎหมาย
เพราะคนส่วนใหญ่ในสังคม เขายอมทำงานหนัก สู้ทนทำงานหนัก ไม่มาขอทานแบบนี้เพราะอะไร? เพราะเขารักษาศักดิ์ศรี และไม่ทำผิดกฎหมายนั่นเอง
ส่วนปัญหาเชิงโครงสร้าง ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ก็มีอยู่จริง ต้องแก้ไขในระยะยาว แต่ไม่ใช่เหตุที่จะละเว้น ปล่อยให้มีขอทานเต็มเมือง มิฉะนั้น ทุกคนก็อ้างเหตุปัญหาเชิงโครงสร้าง ทำผิดกฎหมายได้หมด อย่างนั้นหรือ?
5. จัดระเบียบ “ขอทาน”
การจัดระเบียบ “ขอทาน” ยากจะทำไม่สำเร็จ ถ้าคนยังสนับสนุนด้วยการให้ทาน
การขอทานถือเป็น “การกระทำผิดกฎหมาย” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และหากเป็น “ผู้ที่แสวงหาประโยชน์” จากการขอทาน อัตราโทษจะหนักขึ้นด้วย
กรณี ขอทานต่างด้าว : เมื่อเจ้าหน้าที่พบเห็นหากมาคนเดียว จะดำเนินคดีและเมื่อสิ้นสุดคดีแล้ว จะส่งตัวกลับไปประเทศต้นทาง
หากมากับเด็ก จะดำเนินการตรวจสอบสารพันธุกรรม (DNA) เพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางสายโลหิตก่อน
หากพบว่า “มีความสัมพันธ์ทางสายโลหิต” จะรายงานผลไปที่สถานีตำรวจในท้องที่กระทำความผิด เพื่อประสานส่งกลับประเทศต้นทาง
หากพบว่า “ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายโลหิต” จะรายงานผล DNA ไปที่สถานีตำรวจในท้องที่กระทำความผิด เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ จากตัวเลขของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ณ วันที่ 31 ต.ค. 66 พบว่า มีขอทานในประเทศไทยกว่า 7,151 คน
แบ่งเป็นคนไทย 4,686 คน และคนต่างด้าว 2,465 คน
โดยกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่พบขอทานมากที่สุด
รัฐบาลมีมาตรการข้างต้น และยังต้องขอความร่วมมือประชาชนหากพบเห็นขอทาน “ไม่ควรให้เงิน” เพื่อไม่ส่งเสริมในทางที่ผิดกฎหมายและยังช่วยรักษาภาพลักษณ์ของประเทศ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหานี้ได้อีกทางหนึ่ง
สามารถแจ้งสายด่วน พม. 1300 (ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน) ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อจัดชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว ลงพื้นที่เข้าตรวจตราเหตุการณ์
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี