พรรคการเมืองทุกพรรคของราชอาณาจักรไทยทุกวันนี้ล้วนกล่าวอ้างได้อย่างเต็มปากว่าตนนั้นเป็นพรรคประชาธิปไตย เพราะต่างได้ก้าวลงสนามแข่งขันในสนามเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย ซึ่งก็คงไม่มีข้อถกเถียงใดๆ ในประเด็นนี้
แต่ถ้าจะถามต่อไปว่าพรรคการเมืองของไทยทั้งหมดเป็นประชาธิปไตยแค่ไหน เป็นเพียงนักเลือกตั้งเท่านั้นก็พอแล้วหรือ หรือจะมีหลักคิดหลักการอื่นๆ ที่จะเสริมสร้างความเป็นพรรคการเมืองประชาธิปไตยอย่างแท้จริง สมบูรณ์แบบอีกหรือไม่
คำตอบในภาพรวมตามเนื้อผ้าก็ต้องตอบไปว่า พรรคการเมืองแต่ละพรรคของประเทศไทยเรานั้น มิได้มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างจริงจังหรือแท้จริงแต่อย่างใด เพราะพรรคการเมืองของไทยได้แสดงให้เห็นว่า พวกเขาต่างมีรูปแบบลักษณะและสาระเนื้อหาที่สวนทางกับความเป็นองค์กรประชาธิปไตย ดังนี้
1.ความเป็นเจ้าของพรรค (Ownership) มิได้ขึ้นกับสมาชิกพรรคทั้งหมด หากแต่ล้วนขึ้นกับองค์บุคคล หรือคณะองค์บุคคลหนึ่งเล็กๆ หรือมิฉะนั้นก็ขึ้นกับราชวงศ์หรือตระกูลการเมือง (PoliticalDynasty) พรรคการเมืองจึงเป็นของกลุ่มแกนนำหรือกลุ่มอภิสิทธิ์ชน
2.พรรคการเมืองต่างๆ มิได้มีอุดมการณ์แน่ชัดโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับพรรคการเมืองแต่อดีต เช่นพรรคสังคมนิยม และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยหรือเมื่อเทียบกับพรรคการเมืองในประเทศต่างๆ ทั้งที่เป็นราชอาณาจักร และทั้งที่เป็นสาธารณรัฐ ที่พรรคการเมืองของเขาแต่ละพรรค ต่างมีอุดมการณ์การเมืองที่แน่นอนและแน่ชัด เช่น พรรคเสรีนิยม พรรคอนุรักษ์นิยม พรรคสังคมนิยม พรรคคอมมิวนิสต์นิยม พรรคชาตินิยมหรือชาติพันธุ์นิยม เป็นต้น
3.พรรคการเมืองของไทยไม่มีกฎเกณฑ์กติกาที่จะเปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคทั้งหมดลงคะแนนเลือกหัวหน้าพรรค ซึ่งถือเป็นการขจัดสิทธิการมีส่วนร่วมและการเป็นเจ้าของร่วม ก่อให้เกิดประเพณีวัฒนธรรมของการให้พรรคการเมืองกลับกลายเป็นสมบัติส่วนตัวขององค์หรือกลุ่มบุคคลดังกล่าว
ในเมื่อพรรคการเมืองของไทยไม่ได้มีความเป็นประชาธิปไตย ก็ส่งผลให้พรรคการเมืองเหล่านั้นไม่สามารถที่จะเป็นกลไกขับเคลื่อนความเป็นสังคมประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทยได้อย่างขะมักเขม้นและสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาต่างมีลักษณะของความเป็นเจ้าของของพรรคการเมืองโดยกลุ่มคนเล็กๆ น้อยๆ พรรคการเมืองนั้นๆ ก็เลยต้องตอบสนองความต้องการคำสั่ง และผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจ “เจ้าของพรรค” ดังกล่าวเป็นสำคัญ ซึ่งก่อให้เกิดสภาวะความขัดกันซึ่งผลประโยชน์ ระหว่างของพรรค กับของชาติบ้านเมือง ที่พรรคการเมืองประกาศว่าอาสาเข้ามารับใช้ แต่ดันกลับไปรับใช้พวกพ้องที่เอาแต่ฉกฉวยประโยชน์จากประเทศชาติบ้านเมือง ซึ่งในขณะเดียวกัน ก็เป็นการบ่อนทำลายความเป็นประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทยไปในตัวอีกด้วย
และเมื่อพรรคการเมืองเฉไฉหลงทาง ปฏิกิริยาสะท้อนกลับจากประชาชนพลเมืองก็ย่อมเกิดขึ้น การเผชิญหน้าก็ย่อมเกิดขึ้น แล้วถึงจุดหนึ่ง ก็ไม่แปลกที่จะมีปรากฏการณ์ของความวุ่นวายในสังคมจนนำไปสู่การปฏิวัติรัฐประหาร เมื่อนั้น พรรคการเมืองบางพรรคก็จะประกาศตนว่า ฉันอยู่ตรงข้ามกับทหาร ฉันเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่สาธารณชนเขารู้กันทั่วว่า พรรคเหล่านั้นแท้จริงแล้วมิได้มีความเป็นประชาธิปไตยแต่กำเนิด และมิได้เคยทำการเสริมสร้างประชาธิปไตยให้ก้าวหน้า หากแต่กลับเอาแต่ทำตัวเป็นผู้บ่อนทำลายประชาธิปไตยด้วยต่างหาก จนเป็นต้นเหตุของการเดินขบวนชุมนุมประท้วง การแบ่งฝักฝ่ายกันบนท้องถนน และนำไปสู่การปฏิวัติรัฐประหารในที่สุด
การปฏิรูปพรรคการเมืองอย่างใหญ่หลวง เอาจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องรอการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายพรรคการเมือง หรือกฎหมายเลือกตั้งใหม่หมด เพราะพรรคการเมืองทุกพรรคสามารถปฏิรูปตนเองให้เป็นองค์กรประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีความเป็นสากลได้ตั้งแต่บัดนี้ ข้อมูลแบบอย่างและประสบการณ์มีอยู่รอบๆ พรรคการเมืองของไทยทั้งในและนอกประเทศ ก็ขึ้นอยู่กับสมาชิกพรรคการเมืองและผู้นำพรรคการเมืองทั้งหลายจะดำเนินการอย่างจริงจังด้วยความขะมักเขม้น และรวดเร็วในการทำให้พรรคการเมืองเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ และเมื่อนั้นประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทยก็จะเบ่งบานและมั่นคงอย่างแน่นอน เพราะว่าฝ่ายกองทัพก็จะหมดข้ออ้างที่จะทำภารกิจการแทรกแซงในการเมืองไปโดยปริยาย
ก็ขอท้าไปยังหัวหน้าพรรคการเมืองไทยทุกคนว่า พวกท่านกล้าที่จะแสดงความเป็นนักประชาธิปไตยกันโดยไม่เลิกสร้างประเด็นขัดแย้งทางการเมือง ด้วยการหันมาใส่ใจผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ไม่มัวแต่รับใช้ตนเองและกลุ่มทุนเจ้าของพรรคจนลืมประชาชน ซึ่งถ้าใครกระทำไม่ได้ ก็ขอได้โปรดอำลาไปจากเวทีการเมืองของไทย เลิกทำตัวเป็นตัวปัญหา และเป็นอุปสรรคความก้าวหน้าของสังคมไทยกันเสียที
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี