ในแวดวงพุทธศาสนา วัดป่า (Forest Monastery) ของไทยเรานั้นโด่งดังเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก มิใช่แค่เรื่องของการดำรงตนและปฏิบัติตนของภิกษุ ภิกษุณี สามเณร แม่ชี และฆราวาส ที่มาถือศีลถือบวชเท่านั้น หากแต่เป็นวิถีชีวิตหนึ่งของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติแวดล้อม พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันและฉะนั้นมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อความสงบสันติสุขและความยั่งยืน
คำถามก็คือ เมื่อมีวัดป่าได้ และเราจะมีเมืองป่าได้ไหม?
ชุมชน หมู่บ้าน และเมืองเล็กเมืองน้อยของเรา จะอยู่ท่ามกลางป่าไม้ลำเนาไพรได้หรือไม่?
ทั้งนี้มิใช่แค่จะบรรเทาสภาวะโลกร้อน หากแต่ยังช่วยเสริมสร้างความสวยงาม และความสงบ เพลิดเพลินใจที่จะได้อยู่กับธรรมชาติอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
ซึ่งคำตอบก็คือ ไม่เกินวิสัยและสติปัญญาของพวกเรา ที่จะทำให้บ้านเมืองของเราอยู่กับป่า สวน และสวนสาธารณะ ซึ่งก็น่าจะเริ่มต้นได้ด้วยการรับผิดชอบ ด้วยความอุตสาหะและมุ่งมั่นของพวกเราผู้เป็นมนุษย์ด้วยการเสริมสร้างความเขียวและความร่มเย็นเป็นสุขให้กับบ้านช่องบ้านเรือน ทั้งที่เป็นบ้านเดี่ยว บ้านเรียงติดต่อกันที่เรียกว่าทาวน์เฮ้าส์ และที่อยู่อาศัยแบบลอยฟ้าที่เรียกว่า อพาร์ทเม้นท์ และคอนโดมิเนียม ด้วยการปลูกต้นไม้ เพิ่มจำนวนกระถางไม้ หรือจัดทำเรือนไม้ ตามทางเดินริมถนน หน้าห้องแถว และอาคารบ้านเรือนของเรา เราก็ประดับประดาหาความชอุ่ม ด้วยการมีกระถางไม้ต่างๆ ด้วย
คู่ขนานกันไปเราต่างเป็นลูกบ้านของเขตอำเภอ หรือเทศบาล เราก็ต้องเรียกร้องให้ผู้บริหารราชการท้องถิ่น และผู้แทนของเราเอาใจใส่กับการปลูกต้นไม้ จัดหากระถางต้นไม้ตามทางเดิน ตามเกาะกลางถนน และตามฝั่งถนน และตามฝั่งลำน้ำลำคลอง และตามฝั่งบ่อบึงให้มากที่สุด ทั้งนี้ก็ควรจะมีการจำกัดทางเดินและทางรถในสวนสาธารณะเพื่อลดเนื้อที่ซีเมนต์และยางมะตอย อีกทั้งการไม่ขยายการก่อสร้างอาคารและการเพิ่มความเขียวให้กับบรรดาอาคารที่มีอยู่แล้วให้มากที่สุด
เรื่องต่างๆ ดังกล่าวก็ต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างแน่นอน ซึ่งก็ขึ้นอยู่ว่า การบริหารจัดการรายรับรายจ่ายของครอบครัวนั้น จะมีการปรับเปลี่ยนและลำดับความสำคัญก่อนหลังได้อย่างไรบ้าง เพื่อเพิ่มความเขียวให้กับสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัว
ส่วนฝ่ายบ้านเมืองท้องถิ่นนั้นจะอ้างว่าขาดงบประมาณก็ดูจะกระไรอยู่ และคงไม่จริง เพราะมีงบประมาณอยู่ไม่น้อย แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการจัดใช้งบประมาณ โดยเฉพาะการตัดรายการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และมีนัยของการทุจริตคอร์รัปชั่น
ในภาพกว้างระดับชาติเราก็มีกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ และหน่วยงานวิชาการมากมาย ก็อยู่ในวิสัยที่จะทำการค้นคว้าวิจัย เช่น การพัฒนาเมล็ดพันธุ์และเพาะต้นกล้า ไปจนถึงการคืนป่าให้กับแม่น้ำ และต้นน้ำต่างๆ รวมทั้งการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบชลประทานให้มีประสิทธิภาพและความทั่วถึงมากขึ้น
ทั้งนี้ประเทศไทยอยู่ในเขตโลกที่โดยทั่วไป ฤดูฝนมีความสม่ำเสมอ การจัดเก็บน้ำยังกระทำได้โดยจำกัด น้ำฝนส่วนใหญ่ไหลลงสู่ทะเล จึงไม่มีข้ออ้างใดๆ ว่าน้ำไม่เพียงพอ
คู่ขนานกันไปก็คือ การยุติการตัดไม้ทำลายป่าอย่างเด็ดขาด และการนำเอาพื้นที่ที่เสียไปให้กับไร่อ้อย ไร่ข้าวโพด ไร่มันสำปะหลัง และไร่ยางพารา คืนให้กับป่า ด้วยวิธีการเพาะปลูกที่ใช้พื้นที่น้อยๆ แต่ผลผลิตสูง เป็นต้น
ก็เชิญชวนให้หันกลับมารักต้นไม้กันครับ เพราะปราศจากต้นไม้ สิ่งมีชีวิตก็อยู่ไม่ได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี