ระยะ 2 เดือนมานี้ มีคนสอนหนังสือบางคนในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนสำนักหนึ่ง ที่หลายคนมองตรงกันว่าสื่อฯ สำนักนั้นได้รับผลประโยชน์ทางการเงินจำนวนมิใช่น้อยจากอดีตรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะสื่อฯ สำนักดังกล่าวรับงานด้านประชาสัมพันธ์และจัด event ให้รัฐบาลและหน่วยราชการ
กลับไปพูดถึงเรื่องรัฐประหาร ก็ต้องบอกตรงๆ ว่าเป็นสิ่งที่มีสองกระแสแนวคิดในสังคมไทย คือแนวหนึ่งคัดค้าน แต่อีกแนวหนึ่งเรียกร้อง ถามว่าใครคัดค้าน ก็ตอบได้ว่ากลุ่มที่คัดค้านมากๆ คือกลุ่มนักการเมืองที่เสียผลประโยชน์ แต่ก็น่าอัศจรรย์ใจมากตรงที่ แม้นักการเมืองบางกลุ่มจะคัดค้านการรัฐประหาร แต่พวกเขาก็สามารถแทรกตัวเข้าไปทำงานกับคณะรัฐประหารได้ แล้วก็ยังคงได้รับผลประโยชน์เหมือนเดิม
ส่วนกลุ่มที่สนับสนุนการรัฐประหาร ก็คือกลุ่มที่ไม่พอใจพฤติกรรมโกงบ้านกินเมือง และพฤติกรรมฉ้อฉลปล้นประเทศโดยนักการเมือง เพราะเห็นว่าแม้ประชาชนพยายามต่อต้านนักการเมืองโกงชาติมากสักเพียงใด แต่นักการเมืองโกงชาติก็ไม่ยอมลงจากเก้าอี้แห่งอำนาจรัฐ โดยนักการเมืองโกงชาติจะอ้างแค่เพียงว่า ตนเองเข้าสู่อำนาจรัฐด้วยการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้น หากไม่พอใจพวกเขา ก็ต้องรอการเลือกตั้งครั้งหน้า สรุปคืออ้างการเลือกตั้งทั้งๆ ที่รู้ว่านักการเมืองจำนวนไม่น้อยโกงการเลือกตั้งแต่เมื่อโกงแล้ว กกต. (คณะกรรมการการเลือกตั้ง)ไม่มีปัญญาจับโกง ดังนั้น นักการเมืองโกงชาติก็จึงแสดงอาการกำแหงและอหังการโดยไม่เกรงใจประชาชนแม้แต่น้อย
ถามต่อไปว่าประเทศไทยจะยังคงมีโอกาสเกิดรัฐประหารอีกหรือไม่ ตอบว่า มี และมีอย่างแน่นอน เพราะตราบเท่าที่ทหารยังคงมีอำนาจกองทัพ โดยมีอาวุธอยูู่ในกำมือ แล้วที่สำคัญคือ เมื่อทหารยังไม่สำเหนียกในอาชีพทหาร แล้วยังคงมีทหารจำนวนหนึ่งพยายามคิดหาอำนาจการเมืองด้วยหนทางลัด เพราะต้องการได้ผลประโยชน์มหาศาล แล้วเมื่อผสมกับเสียงเรียกร้องจากประชาชนจำนวนหนึ่ง โดยทหารที่คิดทำรัฐประหารมีข้ออ้างว่านักการเมืองโกงบ้านกินเมือง เมื่อเป็นเช่นนี้ การรัฐประหารจึงยังมีโอกาสเกิดในประเทศไทยได้เสมอ
ถ้าเช่นนั้น ถามแบบตรงประเด็นว่า ภายในเร็วๆ นี้ ประเทศไทยจะเกิดรัฐประหารอีกหรือไม่คำตอบคือยังไม่น่าจะเกิดในระยะ 2-3 เดือนข้างหน้านี้เพราะสถานการณ์ความแหลกเหลวเละเทะทางการเมืองยังไม่สุกงอม ประกอบกับประเด็นที่ทหารจะใช้เป็นข้ออ้างทำรัฐประหารยังไม่ชัดเจนเพียงพอ ดังนั้น จึงพอจะมั่นใจว่ายังคงจะไม่เกิดรัฐประหารในเร็วๆ นี้
แต่ถ้าหากภาพรวมของการเมืองไทยยังคงดำเนินไปด้วยความเละเทะเช่นนี้ไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อผสมกับการที่สังคมไทยไม่พอใจพฤติกรรมของนักโทษชายรายหนึ่งที่โกหกว่าจะกลับประเทศไทยมาเพื่อเลี้ยงหลาน แต่สุดท้ายกลายเป็นว่านักโทษชายรายดังกล่าวกลับแสดงพฤติกรรมการเมืองแบบกร่างกร้าว โดยจงใจละเลยหลักนิติรัฐ นิติธรรม และมองข้ามความไม่พอใจของประชาชน แล้วเรายังจะต้องรอดูว่านักโทษหนีคดีอีกรายหนึ่งที่เป็นน้องสาวของนักการเมืองหนีคดีที่ยอมกลับเข้าไทยโดยที่ตนเองได้รับอภิสิทธิ์แบบสุดมหัศจรรย์ เพราะไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว เราต้องรอดูว่านักโทษหญิงรายที่ยังคงหนีคดีจะกลับไทยแบบเท่ๆ เหมือนนักโทษชายหรือไม่ หากนักโทษหญิงกลับไทยแล้วได้รับอภิสิทธิ์ล้นเหลือเหมือนนักโทษชาย รับรองว่าก็ใกล้จะเกิดรัฐประหารมากยิ่งขึ้น แล้วถ้าหากลูกสาวคนเล็กของนักโทษชายถูกดันขึ้นไปกินตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ ก็หมายความว่าสังคมไทยก้าวเข้าใกล้รัฐประหารขึ้นเป็นลำดับ
ถ้าหากการเมืองไทยยังคงเละเทะแบบนี้ต่อไปรับรองรัฐประหารมาแน่นอน แต่ไม่มีใครรับรองได้ว่าเมื่อรัฐประหารแล้ว บ้านเมืองจะดีขึ้นกว่าเดิม เพราะทั้งหมดทั้งสิ้นขึ้นอยู่กับสติปัญญา และความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองของคนทำรัฐประหาร หวังว่าหากเกิดรัฐประหารครั้งหน้า คนทำรัฐประหารจะไม่ปัญญาอ่อน ทำให้รัฐประหารสูญเปล่า โดยไม่แก้ปัญหาใดๆ ให้สังคมไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี