ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญนั้นมีได้คนเดียว แต่ถ้าเป็น “นายกรัฐมนตรีอำพราง” แล้วอาจมีได้หลายคน ขึ้นอยู่กับที่ถูกอำพรางไว้
พฤติกรรมอย่างนี้คือการ “ฉ้อฉลหรือหลอกลวง” ประชาชนนั่นเอง
คำว่า “อำพราง” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายไว้ว่า “ปิดบังโดยหลอกลวงให้เข้าใจไปทางอื่น ....”
นักกฎหมายจะเข้าใจคำนี้ดี เพราะเวลาเรียนกฎหมาย จะมีเรื่องยากเรื่องหนึ่งคือ “นิติกรรมอำพราง” ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๕ คือการที่คู่กรณีทำนิติกรรมขึ้นมาสองนิติกรรม แต่มีเจตนาผูกพันกันแค่เพียงนิติกรรมเดียว โดยนิติกรรมที่แสดงออกเปิดเผยมานั้นเป็นการแสดงเจตนาลวงเพื่อเป็นการปิดบังอำพรางนิติกรรมที่ซ่อนอยู่ แต่แท้ที่จริงแล้ว..คู่กรณีมีเจตนาที่จะผูกพันกันจริงๆ ตามนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้ กฎหมายจึงบัญญัติให้นิติกรรมที่เป็นเจตนาลวงนั้นตกเป็น “โมฆะ” กล่าวคือ ไม่มีผลบังคับ โดยให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ
ที่นำข้อกฎหมายเรื่อง “นิติกรรมอำพราง” หรือเจตนาลวงมาให้เห็นนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะนำมาปรับใช้ในเรื่องนายกรัฐมนตรีอำพราง เพราะเป็นบทบัญญัติของกฎหมายเอกชนที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่กรณี “นายกรัฐมนตรีอำพราง” เป็นเรื่องของกฎหมายมหาชนคือรัฐธรรมนูญ และคงต้องขอยืมมุมมองทางรัฐศาสตร์มาช่วยทำความเข้าใจเรื่องนายกรัฐมนตรีอำพรางในระบบการเมืองไทย
บทความเรื่อง “Itthiphon and Amnat : An Informal Aspect of Thai Politics” หรือ “อิทธิพลและอำนาจ : การเมืองไทยในด้านที่ไม่เป็นทางการ” ของ ศาสตราจารย์ ดร. โยชิฟูมิ ทามาดะ (Yoshifumi Tamada) นักรัฐศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ผู้เชี่ยวชาญเรื่องไทยศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต อาจารย์โยชิฟูมิศึกษาค้นคว้าเรื่องการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน ได้เขียนบทความนี้ไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๓๔ โดยอธิบายความแตกต่างระหว่าง “อิทธิพล” กับ “อำนาจ” ในการเมืองไทยว่า….
....ระบบการเมืองไทยมีอำนาจอยู่สองประเภท ประเภทแรกคือ อำนาจ อย่างเป็นทางการที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีสถาบันการเมืองอย่างเป็นทางการมารองรับ ส่วนอำนาจประเภทที่สองนั้น เรียกว่า อิทธิพล ซึ่งเป็นอำนาจอย่างไม่เป็นทางการและไม่มีกฎหมายหรือสถาบันใดใดมารองรับ.....และอำนาจแบบที่สองนี้ก็มีพลังอำนาจไม่น้อยไปกว่าแบบแรก และในบางกรณีอาจจะมากกว่าด้วย...เช่น กรณีนายกรัฐมนตรีอำพรางในระบบการเมืองไทยยุคปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเศร้าใจก็คือ นายกรัฐมนตรี โดยนิตินัย (de jure Prime Minister) แทนที่จะใช้
“อำนาจ” แบบแรกที่ได้รับมาจากประชาชนโดยผ่านการเลือกตั้งและมีกฎหมายรองรับอย่างถูกต้อง ไปจัดการหรือกำราบ อิทธิพล หรือการใช้อำนาจประเภทที่สองโดยปราศจากศีลธรรมมากำกับของนายกรัฐมนตรีอำพราง แต่กลับไปรวมหัวกันกับ อิทธิพล ของนายกรัฐมนตรีอำพราง ด้วยการรับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจแบบแรก อันไม่ต่างจากการที่กำนันหรือผู้ใหญ่บ้านตั้งกุ๊ยข้างถนนหรือนักเลงราวสะพานที่คอยเก็บค่าผ่านทางผู้สัญจรไปมา ให้เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารหมู่บ้านหรือตำบล
ก็ไม่ใช่เพราะ อิทธิพล ของนายกรัฐมนตรีอำพราง...อย่างงั้นหรือ ที่ทำให้นายเศรษฐาต้องตั้งทนายถุงขนมที่เคยถูกศาลฎีกาสั่งจำคุกหกเดือนขึ้นดำรงตำแหน่งระดับเสนาบดี ทั้ง ๆ ที่สมควรรู้ว่าไม่ถูกต้อง จนทำให้ตัวเองต้องถูกกลุ่ม ๔๐ สว. ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเพื่อถอดถอนให้ออกจากตำแหน่ง
และก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็น อิทธิพล ของนายกรัฐมนตรีอำพรางคนเดิม หรืออีกคนหนึ่ง...หรือไม่ ที่หยิบยื่นข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ให้กับเนติบริกรเพื่อให้เข้ามารับตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เพราะลำพังตัวนายกรัฐมนตรีเองนั้น ดูแล้วไม่มีบารมีมากพอที่จะเชื้อเชิญเนติบริกรอันดับหนึ่งของเมืองไทยเข้ามาร่วมงานด้วย แถมความสัมพันธ์ที่ผ่านมาของทั้งคู่ ก็ไปในทางกระแหนะกระแหนกันเสียมากกว่า
ด้วยบทบาทตรงนี้ ทำให้เนติบริกรต้องทำหน้าที่เป็นทั้ง ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีอำพรางและนายกรัฐมนตรีโดยนิตินัย
หน้าที่หลักของเนติบริกรก็อยู่ที่การอำนวยความสะดวกให้นายกรัฐมนตรีอำพรางได้ใช้ อิทธิพล หรือ อำนาจที่ไม่มีกฎหมายรองรับ ของตัวเองผ่าน “อำนาจ” ของนายกรัฐมนตรีที่มีกฎหมายและสถาบันการเมืองมารองรับ...ไม่ว่าจะเป็น..รัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง กรมราชทัณฑ์ หรือ รพ.ตำรวจ เป็นต้น โดยตัวนายกรัฐมนตรีเองได้แต่นั่งจ๋อง มองตาปริบปริบ เพราะไม่สามารถทำอะไรได้
แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่านายกรัฐมนตรีโดยนิตินัยไม่มี “อำนาจ” อะไรเลย
นายกฯ นิด ก็มี “อำนาจ” เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเป็น “อำนาจ” ที่น้อยนิด เมื่อเทียบกับ อิทธิพล ของนายกรัฐมนตรีอำพราง อันสะท้อนได้จากการที่บุคลากรคอกเพื่อไทยที่ให้การต้อนรับและใช้ประโยชน์จาก อิทธิพล ของนายกรัฐมนตรีอำพรางอย่างเต็มที่ ตั้งแต่ การวิ่งเต้นเพื่อเอา อิทธิพล ไปบีบบังคับให้ “อำนาจ” ของนายกรัฐมนตรีไปทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ส่วนตัวและกลุ่มก๊วนของตนเอง
รวมถึงการไปบีบบังคับให้ “อำนาจ” ที่มีกฎหมายรองรับของข้าราชการ ต้องถูกใช้ไปในทางฉ้อฉลยอมตาม เพื่อผลประโยชน์และความสะดวกสบายของนายกรัฐมนตรีอำพราง ที่มักจะสร้างนิติกรรมอำพรางเรื่องความเจ็บป่วย เพื่อหลบหนีอาชญากรรมที่ทำไว้และการลงทัณฑ์ที่สมควรจะได้รับ
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี