อย่างที่เคยเขียนไว้..ว่าความชั่วความเลวของ“ทักษิณ ชินวัตร”ที่ได้ก่อเวรกรรมไว้ระหว่างปี 2544-2549..ขณะเป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยนั้น..หยิบมาเขียนเจ็ดวันเจ็ดคืนก็ไม่จบ
ยุคที่“ทักษิณ ชินวัตร”ครองเมือง ต้องถือว่าเป็นยุคที่“ตำรวจเรืองอำนาจ”..ทักษิณในฐานะที่เป็นตำรวจเก่าเข้าไปกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และใช้ตำรวจเป็นฐานในการกระชับอำนาจของตน..ชนิดที่ว่า“ภายใต้แสงอาทิตย์ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” อันเป็นคำขวัญของ“พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์”อดีตอธิบดีกรมตำรวจผู้ทรงอำนาจในยุค“จอมพล ป. พิบูลสงคราม”..ซึ่งทักษิณมักจะนำมากล่าวอ้างเพื่อปลุกเร้าตำรวจอยู่เสมอ
ในช่วงทำสงครามปราบปรามยาเสพติด..ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์-30 เมษายน 2546..“ทักษิณ ชินวัตร”ก็ใช้คำขวัญดังกล่าวของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ มาปลุกเร้าตำรวจ..ซึ่งปรากฏว่า เพียงแค่ 3 เดือนของการดำเนินนโยบายนี้ภายใต้การสั่งการของทักษิณ..มีผู้เสียชีวิตจากคดีฆาตกรรมถึง 2,819 ศพ..ซึ่งในจำนวนนี้พบว่ามีพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและถูกตำรวจวิสามัญฆาตกรรมถึง 1,370 ศพ
การทำสงครามปราบปรามยาเสพติดตามนโยบายของ“ทักษิณ ชินวัตร”ในครั้งนั้น...หลายองค์กรทั้งในและต่างประเทศเห็นว่า เป็นนโยบายที่ส่งเสริมการใช้ความรุนแรงและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง..ส่งผลให้มีผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก รวมทั้งผู้หญิงและเด็ก..ถูกวิสามัญฆาตกรรมหรือถูก“ฆ่าตัดตอน”โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ผลการศึกษาสอบสวนเรื่อง“ปัญหาและผลกระทบการดำเนินนโยบายประกาศสงครามขั้นแตกหักเพื่อเอาชนะยาเสพติด” โดยคณะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ในขณะนั้น ซึ่งมี “ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง”เป็นประธาน--สรุปว่า..“การสั่งการ-มอบหมาย และชี้แจงนโยบาย”ของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร..“มีลักษณะชี้นำ-ปลุกเร้า-และกดดัน” ให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานใช้ความรุนแรงนอกระบบกฎหมายเข้าจัดการกับปัญหา..อีกทั้ง ยังมีการใช้วาทกรรมและพิธีกรรมที่ยั่วยุให้เกิดการใช้ความรุนแรง
วาทกรรมที่“ทักษิณ ชินวัตร”ใช้ปลุกเร้า..นอกจาก “ภายใต้แสงอาทิตย์ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้”แล้ว..ก็มี อาทิเช่น “การทำงานหนักของท่าน 3 เดือน..ถ้าจะมีผู้ค้ายาตายไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติ”, “บางทีถูกยิงตายแล้วต้องถูกยึดทรัพย์ด้วย..ผมคิดว่าเราต้องเหี้ยมพอๆ กัน” และ “ที่อยู่ของขบวนการค้ายาเสพติดมี 2 ที่..คือถ้าไม่ไปคุก ก็ไปวัด”
การทำสงครามปราบปรามยาเสพติดตามนโยบายของ“ทักษิณ ชินวัตร”ดังที่กล่าวนี้..คณะกรรมการตรวจสอบอิสระทุกคณะที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาสอบสวนภายหลังจาก“ทักษิณ ชินวัตร”พ้นอำนาจ..สรุปต้องตรงกันว่า--เป็นการก่ออาชญากรรมร้ายแรงตามกฎหมายระหว่างประเทศ คือเข้าข่ายความผิด“การก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” (Crime against humanity)..อันเป็นความผิดอาชญากรรรมร้ายแรงตามกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศหลายฉบับ..โดยเฉพาะอย่างยิ่งตาม“ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ” ที่บทบัญญัติของธรรมนูญกรุงโรมฯ มีสถานะเป็น“กฎหมายบังคับเด็ดขาด”
เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดยิ่งขึ้น..เมื่อไปดูรายงานการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายดังกล่าวของ“ทักษิณ ชินวัตร”..ซึ่งได้ทำการศึกษาวิจัยโดยคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์..มี “ผศ.ดร.นนทวัชร์ นวตระกูลพิสุทธิ์” เป็นหัวหน้าโครงการ และ“ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ”เป็นที่ปรึกษาโครงการ และได้นำเสนอต่อสำนักคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม) ในปี 2558..สรุปไว้ว่า
การดำเนินนโยบายในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดของรัฐบาลที่มี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี..ก่อให้เกิดการโจมตีและการสูญเสียแก่ประชากรพลเรือนใน“วงกว้าง-อย่างเป็นระบบ-และเป็นขั้นเป็นตอน” จึงมีลักษณะเป็นการ“ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ”..ทั้งในลักษณะของการฆ่าคนตายโดยเจตนา และในลักษณะของการบังคับบุคคลให้สูญหายตามนัยและเจตนารมณ์แห่งธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศอย่างแท้จริง
อีกประการหนึ่ง นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ในฐานะผู้กำหนดนโยบาย และกำหนดแนวทางในการปฏิบัติตามนโยบายนี้..ขาดความชัดเจน โดยใช้ความรุนแรง และไม่คำนึงถึงหลักนิติรัฐ รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชากรพลเรือน..อันเป็นสาเหตุที่นำมาซึ่งการสูญเสียต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้เสียหายที่เป็นประชากรพลเรือนอย่างรุนแรงและอย่างกว้างขวาง
ผลสรุปของคณะทำการศึกษาวิจัยชุดนี้ที่นำเสนอต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็คือ..“ทักษิณ ชินวัตร”จึงเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อการก่ออาชญากรรมร้ายแรง..จากการกำหนดและการดำเนินนโยบาย ในฐาน“ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ”..ซึ่งเป็นการก่อ“อาชญากรรมร้ายแรงระหว่างประเทศ”..มิใช่เพียงการกระทำความผิดอาชญาสามัญทั่วไปตามบททบัญญัติแห่งกฎหมายภายในของประเทศไทยเท่านั้น
เป็นเรื่องน่าเศร้าก็ตรงที่ว่า..แม้ประเทศไทยจะได้ลงนามรับรองธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2543 แล้วก็ตาม..แต่ประเทศไทยก็ยังมิได้ให้สัตยาบันหรือให้ความยินยอมแก่ธรรมนูญกรุงโรมฯอย่างเป็นทางการ..ดังนั้นประเทศไทยจึงยังไม่มีความผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามธรรมนูญกรุงโรมฯ และยังไม่อยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นตามธรรมนูญกรุงโรมฯแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ “ทักษิณ ชินวัตร”จึงลอยนวลอยู่ได้จนทุกวันนี้..เพราะประเทศไทยไม่สามารถไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศเพื่อเอาผิดกับทักษิณในข้อหา“ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ”ได้..เนื่องจากเรายังไม่ได้ให้สัตยาบันยอมรับธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ
เมื่อตามไปดูต่อว่า..ทำไมประเทศไทยยังไม่ให้สัตยาบัน—ก็พบว่าในปี 2543 สมัย“รัฐบาลชวน หลีกภัย” ซึ่งมี ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ..ได้ดำเนินการมาจนถึงขั้นตอนสุดท้ายเพื่อเสนอให้สภาฯอนุมัติ..แต่ด้วยเหตุที่รัฐบาลของนายชวน ต้องพ้นวาระไปเสียก่อน..จึงทำให้เรื่องนี้พลอยค้างคาตามไปด้วย
ในปี 2544 หลังจากพรรคไทยรักไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลโดยมี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี..ปรากฏว่ารัฐบาลของทักษิณ ได้สั่งยกเลิก-- ไม่เสนอเรื่องให้สภาฯรับรอง..ด้วยข้ออ้างที่ว่า ประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์อันอาจจะมีผลกระทบ..ทั้งที่โดยข้อเท็จจริง ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ล้วนให้สัตยาบันต่อ“ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ”แล้วทั้งสิ้น..ไม่ว่าจะเป็นเนเธอร์แลนด์, สวีเดน, เดนมาร์ก, ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ประเทศกัมพูชา
จึงน่าเศร้าและน่าเสียดาย..ถ้าหากประเทศไทยได้ให้สัตยาบันต่อธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ..วันนี้“ทักษิณ ชินวัตร”ฆาตกรผู้ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติก็คงอาจจะติดคุกหัวโต-นอนรอความตายอยู่ในคุกแล้วก็เป็นได้ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี