มีพระพุทธภาษิตบทหนึ่งที่มีการกล่าวขานและกล่าวขวัญกันโดยทั่วไปมานานแล้ว แม้กระทั่งในขณะนี้ว่า วินาศกาเล วิปริตตะพุทธิ ซึ่งแปลว่าเมื่อกาลวินาศมาถึงเข้าแล้ว สติปัญญาย่อมวิปลาสไปและมีการกล่าวขวัญเรื่องนี้ในสถานการณ์ที่อดีตนายกทักษิณไปกล่าวปราศรัยในงานอุปสมบทของพรรคพวกนักการเมืองที่จังหวัดปทุมธานี
เป็นการปราศรัยที่ดังสนั่นลั่นเลื่อนและส่งผลกระทบต่อการเมืองและสังคมของประเทศไทยอย่างกว้างขวางที่สุด กลายเป็นข่าวนำลำดับหนึ่งในประเทศไทยต่อเนื่องกันมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้
ในงานอุปสมบทดังกล่าว จู่ๆ นายทักษิณก็ปราศรัยในเรื่องสำคัญสามเรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่องต้องถือว่ามีผลกระทบทางการเมืองอย่างรุนแรง ทั้งต่อตัวนายทักษิณและครอบครัวชินวัตรเอง ตลอดจนพรรคเพื่อไทย รัฐบาล รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและมวลชนที่เกี่ยวข้อง ไม่เว้นแม้กระทั่งกองทัพบก ดังนั้น จึงเป็นข่าวที่เรียกว่าดังสนั่นลั่นเลื่อน และการกล่าวปราศรัยครั้งนี้ก็ถูกกล่าวว่าเป็นเรื่อง“วินาศกาเล วิปริตตะพุทธิ” ดังพระพุทธภาษิตที่ยกขึ้นเป็นต้นเรื่องนั่นเอง
นายทักษิณจะไม่พูดสามเรื่องนี้เสียก็ได้และไม่มีใครกล่าวหาว่าร้ายว่าพูดไม่เป็นหรือพูดไม่สนุกแต่จู่ๆ คุณทักษิณก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาคือ
เรื่องที่หนึ่ง นายทักษิณได้ปราศรัยว่าปัญหาความวุ่นวายในขณะนี้ เกิดจากคนในป่า ซึ่งแม้จะเป็นการกล่าวโดยโวหาร หรือว่ากล่าวหมิ่นประมาทคนโดยไม่ระบุชื่อ แต่คนทั้งหลายก็เข้าใจตรงกันหมดทั้งประเทศว่าเป็นการกล่าวหาพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่แห่งกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ พี่ใหญ่แห่งคณะ คสช. และแกนนำสำคัญของรัฐบาล คสช. ที่ครองอำนาจประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2557-2566 และยังเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอยู่กับพรรคเพื่อไทยในปัจจุบันนี้ด้วย
ซึ่งในเนื้อหาของการพูดก็เชื่อมโยงกับการที่ 40 สว. เข้าชื่อกันขอให้ถอดถอนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเพ่งเล็งว่าพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นผู้บงการให้ 40 สว. นี้เข้าชื่อกันดำเนินการเรื่องนี้ ซึ่งจะเข้าใจถูกหรือจะเข้าใจผิดก็เป็นเรื่องที่เข้าใจกันเอาเอง ในขณะที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ในเรื่องนี้
ทำให้เกิดการประมาณสถานการณ์ว่า การเปิดฉากชนกับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ในครั้งนี้ก็เป็นวิธีการที่เคยใช้มาแล้วในการสถาปนาอำนาจของพรรคไทยรักไทย โดยการเปิดฉากชนกับ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ประธานองคมนตรี เกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร ซึ่งมีแนวคิดกันว่าถ้าสามารถยืนขึ้นชนกับพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้แล้วก็สามารถสยบกองทัพให้อยู่ในกำมือได้ คราวนี้จึงถูกมองว่าเป็นปฏิบัติการทางการเมืองโดยหลักคิดเดียวกัน คือ ถ้าสามารถสยบพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้แล้ว ก็เท่ากับสยบนักการเมืองทั้งประเทศให้อยู่ในอุ้งมือได้ด้วย แต่จะเป็นอย่างไรนั้น หนังเรื่องนี้ยังยาว ต้องดูกันดีๆ อีกระยะหนึ่ง
เรื่องที่สอง จู่ๆ นายทักษิณก็กล่าวขึ้นมาว่าไม่วิตกกังวลต่อการที่อัยการนัดไปฟ้องคดีต่อศาลอาญาในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ โดยกล่าวว่าเมื่อนัดมาก็ไปไม่เห็นมีอะไร แต่ไม่จบอยู่เพียงเท่านี้ นายทักษิณได้กล่าวต่อไปว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจากการยัดข้อหาจากการยึดอำนาจ ซึ่งเป็นต้นไม้พิษ จึงเกิดเป็นผลไม้พิษ ซึ่งเป็นการกล่าวหากองทัพบกโดยตรง เพราะเรื่องนี้กองทัพบกในสมัยพลเอกอุดมเดช สีตบุตร เป็นผู้บัญชาการทหารบก เห็นว่าการกล่าวของนายทักษิณที่ญี่ปุ่นเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9อันเป็นความผิดตามมาตรา 112 จึงมอบให้กรมพระธรรมนูญทหารบกไปแจ้งความดำเนินคดี
การกล่าวหากองทัพบกดังกล่าวโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยจึงเป็นที่จับตาโดยทั่วไป และหลังจากนั้นก็มีการมอบให้ทนายไปยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดว่า การยัดข้อกล่าวหาดังกล่าวนั้นยังมีการใช้อำนาจทหารคือกองทัพบกข่มขู่พยาน ข่มขู่พนักงานสอบสวนและอัยการสูงสุด ให้ดำเนินคดีเอาผิดกับนายทักษิณด้วย ซึ่งข้อกล่าวหาทั้งหมดนี้เป็นการเปิดศึกทางคดีอาญากับกองทัพบกด้วย เพราะเป็นข้อกล่าวหาว่ากองทัพบกและคณะที่เกี่ยวข้องทำความผิดทางอาญาหลายบทหลายมาตรา ซึ่งถ้าหากไม่เป็นความจริงกองทัพบกก็มีสิทธิ์แจ้งความดำเนินคดีอาญากับนายทักษิณได้
การเปิดศึกกับกองทัพบกครั้งนี้ต้องถือว่าเป็นเรื่องใหญ่และมีสภาพไม่ต่างกับเมื่อครั้งก่อนเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 ที่มีการข่มและปรามทหารเพื่อไม่ให้มีการยึดอำนาจหลายรูปหลายแบบ แต่ในที่สุดก็มีการยึดอำนาจในค่ำวันที่ 19 กันยายน 2549 แม้ว่าจะมีการเตรียมการรับมือไว้อย่างเหนียวแน่นเพียงใดก็ตาม
เรื่องที่สาม คือการเปิดศึกมวลชนกับข้าเก่าเต่าเลี้ยงกับอดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดหรือบิ๊กแจ๊ดซึ่งเคยใกล้ชิดสนิทสนมทำนุบำรุงอุ้มชูกันมาแต่ก่อน ถึงขนาดไม่เผาผีกันอีกต่อไป และจะเอาให้ตายทางการเมืองกันไปข้างหนึ่ง ทำให้บิ๊กแจ๊ดจำเป็นต้องฮึดขึ้นสู้กลายเป็นศึกมวลชนของคนเสื้อแดงด้วยกัน
ทั้งสามเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แหลมคมทางการเมือง ทางอำนาจ และมวลชน ซึ่งคนปกติทั่วไปจะไม่มีใครพูดใครทำเรื่องนี้โดยเด็ดขาด แต่เหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดฝัน และไม่มีใครคิดถึงว่านายทักษิณซึ่งเป็นผู้มีสติปัญญามาก มีความเฉลียวฉลาดมาก อยู่ในวงการเมืองมากว่า 20 ปีแล้ว ไฉนจึงประกาศสงครามใหญ่ถึงสามสมรภูมิพร้อมกันในวันเดียวแบบนี้
ผู้รู้จึงกล่าวว่านี่แหละถึงคราววินาศกาเลแล้วจึงเกิดเหตุวิปริตตะพุทธิขึ้นด้วยประการฉะนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี