รัฐบาลเศรษฐาเพื่อไทย พยายามให้คนไทยมีความหวังกับโครงการเติมเงินหมื่นเข้ากระเป๋าดิจิทัล วอลเล็ตโครงการนี้ จะใช้เงินกว่า 5 แสนล้านบาท ต้องกู้มาแจก
ความจริงในขณะนี้ ภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อของตลาดชาวบ้าน ลดวูบอย่างน่าใจหาย คนมีเงินไม่ใช้เงิน คนไม่มีเงินเดือดร้อน เพราะราคา
ค่าครองชีพข้าวของแพงขึ้น
แทนที่รัฐบาลจะเร่งหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือรักษาระดับกำลังซื้อ แบบโครงการคนละครึ่ง ออกมาช่วยเหลือชาวบ้าน
แต่กลับยังพยายามรักษาภาพการเมือง ด้วยการขายฝันโครงการเติมเงินหมื่นต่อไป (ถ้าได้เงิน ก็ไตรมาสสุดท้ายของปี)
ยังไม่เลือกนำโครงการแบบคนละครึ่งกลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อทุเลาภาวะค่าครองชีพแพงขึ้นในขณะนี้
1. ล่าสุด โครงการเติมเงินหมื่นฯ ยังถกเถียงว่า จะให้ซื้อสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้านำเข้าได้หรือไม่
จะส่งเรื่องนี้ให้คณะกรรมการฯทบทวนแล้ว และให้ส่งเรื่องกลับมาอีกครั้ง ส่วนข้อสรุปคาดว่าอีก 1-2 สัปดาห์ และจะมีการนัดประชุมปลายสัปดาห์หน้า...
ในขณะที่ปัญหาปากท้องความเดือดร้อนกำลังบดขยี้ชาวบ้าน หนักหนาสาหัส ต่อหน้าต่อตาในขณะนี้
เหมือนเห็นคนกำลังจะจมน้ำตาย แต่ไม่ยอมโยนห่วงยางในมือไปให้ โดยบอกว่ารอจัดซื้ออันใหม่ มีโลโก้ของพรรค ปลายปีโน่น !!!
ทั้งๆ ที่ปัจจุบัน งบประมาณปี 2567 สามารถใช้ได้แล้ว และมีงบที่สามารถจัดมาช่วยเหลือในสภาวะนี้ได้ทันที แต่ยังไม่ทำ?
2. ประการสำคัญ แทนที่จะเร่งถามกฤษฎีกา ถึงแหล่งเงินที่จะใช้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)?
รมช.คลัง นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เมื่อถึงเวลา มั่นใจว่าทัน และดูกรอบเวลาอยู่ เพราะยังไม่มีข้อกังวล จึงยังไม่ได้สอบถาม ซึ่งยังไม่ได้คิดแผนรองรับหากไม่ได้เงินจาก ธ.ก.ส.
“... เนื่องจากตอนนี้ใช้ 2 แหล่ง คือ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568
แต่ต้องดูความเหมาะสม องค์ประกอบหลายอย่าง
ทั้งการลงทะเบียนนำมาประกอบกันด้วย
ทั้งนี้ การจะใช้เงิน ธ.ก.ส. ต้องจ่ายผ่านช่องทางบัญชีของเกษตรกร ซึ่งคนเป็นเกษตรจะได้รับ ก็ต้องมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ” – รมช.คลังกล่าว
ฟังดูหวานเย็นมาก!
ทั้งๆ ที่ หากรีบถามกฤษฎีกา แล้วถ้าเกิดมีอุปสรรคมาก หรือใช้ไม่ได้ก็จะได้ตัดสินใจแผนเศรษฐกิจทางเลือกอื่น ที่อาจจะช่วยชาวบ้านได้เร็วกว่าเดิมด้วยซ้ำ
แต่รัฐบาลกลับไม่รีบทำ
เหมือนต้องการให้ประชาชนเสพความหวังเรื่องเงินหมื่นไปเรื่อยๆ ขณะที่ชีวิตเศรษฐกิจจริงเดือดร้อนมากขึ้นทุกวัน
3. ข้อสังเกตที่น่ากังวล ต่อโครงการเติมเงินหมื่น ดิจิทัล วอลเล็ต
วันนี้ สภาผู้แทนราษฎร จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติรายจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2568 หรือ พ.ร.บ.งบปี’68
วงเงิน 3,752,700 ล้านบาท
ปรากฏว่า เว็บไซต์สำนักงบประมาณของรัฐสภา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้เผยแพร่รายงานวิเคราะห์ร่างพ.ร.บ.งบปี’68 เพื่อสนับสนุนการพิจารณาและการศึกษาร่างพ.ร.บ.งบปี’68 ของฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้ง สส. สว. คณะกรรมมาธิการ รวมไปถึงประชาชนที่สนใจ
สาระสำคัญของ
รายงานฯ บางส่วน ได้ให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจ ต่องบประมาณที่จะนำไปในโครงการเติมเงินหมื่นฯ
ยกตัวอย่างประเด็นสาระสำคัญที่น่าสนใจ ดังนี้
3.1 รายงานฯ ระบุว่างบประมาณปี 2568 ประมาณการรายได้สุทธิไว้ จำนวน 2,887,000 ล้านบาท
ในขณะที่ได้ประมาณการรายจ่ายไว้จำนวน 3,752,700 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับประมาณการรายได้แล้วนั้น หมายความว่าต้องกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 865,700 ล้านบาท ซึ่งเกือบเต็มกรอบตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติบริหารหนี้สาธารณะ
ดังนั้น หากการจัดเก็บรายได้แผ่นดินไม่เป็นไปตามที่ประมาณการไว้ อาจทำให้รัฐบาลมีความยากลำบากในการจัดหารายรับจากช่องทางอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อมิให้กระทบต่อการดำเนินงานภาครัฐและการใช้จ่ายเงินตามนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา
3.2 รายงานฯ ระบุว่า ปัจจัยเสี่ยงต่อภาระทางการคลังและงบประมาณ ประกอบด้วย
“1.ปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจจีน
2.การเพิ่มขึ้นของ NPLs ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง
3.โครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet
4.วิกฤตการณ์ประชากร 5.การสู้รบในเมียนมา”
ระบุชัดเจนว่า โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาระทางการคลังและงบประมาณ!!!
3.3 รายงานฯ ระบุว่า โครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ตที่แหล่งเงินโครงการมาจาก 3 แหล่ง ได้แก่
“1.งบประมาณปี’68 จำนวน 152,700 ล้านบาท
ผลกระทบทางการคลัง จะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น ภาระหนี้ทั้งต้นเงินกู้และดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น, กรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดทุนน้อยลง ทำให้การบริหารสภาพคล่องของรัฐบาลกรณีจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าเป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้น
2.ดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ ที่ใช้เงิน ธ.ก.ส. 172,300 ล้านบาท
จะทำให้ภาระงบประมาณค้างจ่ายกิจกรรมกึ่งการคลังเพิ่มขึ้น รัฐบาลต้องชำระคืนต้นเงิน และต้นทุนเงินแก่ ธ.ก.ส.ในอนาคต และรัฐบาลมีพื้นที่ในการดำเนินกิจกรรมกึ่งการคลังโครงการอื่นๆ ลดลง
3. การบริหารจัดการงบประมาณปี’67 จำนวน 175,000 ล้านบาท
จะทำให้หน่วยรับงบประมาณที่ต้องโอนงบประมาณออก จะไม่สามารถดำเนินโครงการเดิมได้เต็มศักยภาพ ส่งผลต่อบริการสาธารณะ และหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น ภาระหนี้ทั้งต้นเงินกู้และดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น”
3.4 สำนักงบประมาณของรัฐสภา ยังนำเสนอในรายงานฯ ด้วยว่า
“1.รัฐบาลควรกําหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม โดยให้ประชาชนร่วมจ่ายเมื่อใช้สิทธิการใช้จ่ายของโครงการ
โอกาสที่ประชาชนออมเงินหรือชําระหนี้เพิ่มจะลดลง ค่าตัวคูณทางการคลังสูงขึ้น การดําเนินโครงการส่งผลทางบวกต่อระบบเศรษฐกิจและGDP มากขึ้น
2.รัฐสภาและองค์กรอิสระ อาทิ สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. และ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ควรร่วมมือกันประเมินผลโครงการภายหลังการดําเนินงานแล้วเสร็จ โดยสํารวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศตามหลักสถิติ เพื่ออ้างอิงและจัดทําข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย”
4. น่าเป็นห่วงว่า เราจะฝากชีวิตเศรษฐกิจขอประเทศไว้กับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จริงๆ หรือ?
โครงการยังปรับเปลี่ยนเงื่อนไขรายละเอียด ยังไม่ตกผลึกด้วยซ้ำ
แหล่งเงินโครงการ ไม่ 100% ด้วยซ้ำ
แต่ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ค่าครองชีพ กำลังซื้อในตลาดของชาวบ้านเศรษฐกิจฐานรากกำลังมีปัญหาหนัก เหตุใดไม่หามาตรการเร่งด่วนในทันที
กลัวจะเสียหน้าทางการเมือง มากกว่าจะรักษาชีวิตของประชาชน อย่างนั้นหรือ?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี