สาธารณรัฐอินเดียเพิ่งเสร็จสิ้นการเลือกตั้งทั่วไปในระบอบประชาธิปไตยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยมีประชากรกว่า 900 ล้านคนจากพลเมืองทั้งหมดประมาณ 1,400ล้านคน เป็นผู้มีสิทธิ์ใช้เสียง
การเลือกตั้งกินระยะเวลาร่วม 4 เดือน เนื่องจากต้องมีการแบ่งการเลือกตั้งออกเป็นช่วงๆ และเป็นกลุ่มจังหวัด เพื่ออำนวยให้มีเวลาที่จะเตรียมการเลือกตั้ง และการเปิดโอกาสให้บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งพรรคการเมืองระดับชาติ และพรรคการเมืองระดับท้องถิ่น ได้มีเวลาหาเสียง และเคลื่อนคณะหาเสียงไปได้ทั่วประเทศ จัดได้ว่าเป็นมหากาพย์ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของโลกก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม กระบวนการเลือกตั้งได้ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น ปราศจากความรุนแรง และข้อครหาการซื้อเสียง และทั้งพรรคการเมืองและพลเมืองก็ต่างยอมรับผลการเลือกตั้งกันด้วยดี สะท้อนซึ่งความสำเร็จของระบอบประชาธิปไตยของประเทศกำลังพัฒนาที่มีอาณาบริเวณใหญ่โต และมีจำนวนประชากรเป็นที่หนึ่งของโลก
ประชาธิปไตยของอินเดียเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1947 เมื่ออินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ และประชาธิปไตยของอินเดียก็คงอยู่ยืนหยัดมาได้อย่างสง่างามจนบัดนี้ แม้ว่าอินเดียจะยังคงมีปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางสังคม การไม่รู้หนังสือ ไปจนถึงการเข้าถึงซึ่งการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานอยู่ แต่ทั้งนี้การเบ่งบานของประชาธิปไตยของอินเดียก็เป็นข้อพิสูจน์ว่า อุปสรรคต่างๆ ที่ติดอยู่กับประเทศกำลังพัฒนานั้น มิได้เป็นข้อจำกัดของการเป็นสังคมประชาธิปไตยแต่อย่างใด และมิได้เป็นข้ออ้างที่สังคมประเทศจะต้องถูกปกครองด้วยระบบเผด็จการไม่ว่ารูปแบบใด
คู่ขนานกับการพัฒนาประชาธิปไตยนั้น อินเดียก็สามารถพัฒนาเศรษฐกิจไปด้วยได้ โดยการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ ของอินเดียก็มิได้เป็นรองใคร โดยอินเดียก็เป็น 1 ใน 5 ประเทศของโลกที่สามารถส่งยานอวกาศไปที่ดวงจันทร์ได้
ในขณะที่อินเดียกำลังเดินทางไปในทิศทางของสังคมประชาธิปไตย ตรงกันข้ามกับจีนใช้เส้นทางสังคมเผด็จการ แต่ทั้ง 2 ประเทศก็มีอัตราการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่ด้อยไปกว่ากัน แถมกำลังแข่งขันกันสู่ความเป็นเลิศในด้านต่างๆ
ชาวโลกโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่เรียกว่า ประเทศในโลกที่สาม หรือประเทศในโลกใต้ (Global South) ก็มี 2 แบบอย่างให้เลือก 1.อินเดียก้าวหน้าไปได้ในระบบเปิด ประชาชนพลเมืองมีสิทธิเสรีภาพ หรือ 2.จีนก้าวหน้าไปได้ภายใต้บรรยากาศของลัทธิแห่งความกลัวและกดขี่
หลายๆ ประเทศกำลังพัฒนาตกอยู่ในสภาวะกึ่งประชาธิปไตยกึ่งเผด็จการ ดังเช่น ประเทศไทย และสภาวะดังกล่าวนี้สะท้อนซึ่งความขัดแย้งและการไม่ลงตัวในทิศทาง ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีการปรึกษาหารือหาข้อยุติ ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องยากลำบาก เพราะคนไทยเป็น “ไท” เป็นเสรีชน และจิตวิญญาณของคนไทยเราคือหลักธรรม
อินเดียถือเป็นแหล่งที่มาของความเชื่อถือและประเพณีวัฒนธรรมแต่อดีตให้กับสังคมไทย มาบัดนี้อินเดียก็น่าจะสามารถเป็นแรงบันดาลใจ และเป็นขวัญกำลังใจให้กับการเสริมสร้างการเป็นสังคมประชาธิปไตยให้กับไทยได้เช่นกัน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี