เป็นที่ฮือฮา สำหรับ Nvidia บริษัทที่มีมูลค่าหุ้นสูงที่สุดในโลก
แซงหน้า Microsoft และ Apple (ซึ่งล้วนเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีความรู้)
บริษัทนี้ โดดเด่นในด้านการพัฒนาชิพ AI เข้ามาช่วยประมวลผลในด้านต่างๆ
จึงเป็นเครื่องตอกย้ำว่า เทคโนโลยี AI และนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คือ เทรนด์แห่งอนาคตของความมั่งคั่งอย่างแท้จริง
1. ประเทศไทยจำเป็นต้องเอาใจใส่ และเอาจริงกับการพัฒนาคนในด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม เพื่อนำพาเศรษฐกิจประเทศไม่ให้ตกขบวนโลก
กระทรวงด้านการศึกษา จะต้องมีบทบาทหน้าที่สำคัญนี้ด้วย
คือ สร้างทักษะความรู้ให้กับคนไทย สร้างทรัพยากรมนุษย์ในการทำงานในอุตสาหกรรมไฮเทคเหล่านี้อย่างจริงจัง
นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรม ให้ไปสู่อุตสาหกรรมไฮเทค (High Tech) ที่มีมูลค่าสูงขึ้น
อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง (Semiconductor and Advanced Electronics) ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะทวีมูลค่าและความสำคัญมากขึ้นต่อจากนี้ไป
2. เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2567 รัฐบาลได้แถลงวิสัยทัศน์ “เตรียมทัพกำลังคน สร้างอุตสาหกรรมอนาคต” IGNITE THAILAND : Future Workforce for Future Industry
คุณศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แถลงแนวทาง “การสร้างกำลังคนรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต”
เนื้อหา น่าสนใจอย่างยิ่ง
2.1 รมว.การอุดมศึกษาฯ คุณศุภมาส เปิดเผยว่า กระทรวง อว.มีแผนงานในการสร้างและพัฒนากำลังคนที่ครอบคลุมในทุกระดับ
ตั้งแต่กำลังคนที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรม นักวิจัย รวมถึงการผลิตบัณฑิตในระดับปริญญาตรี โท เอก
ในระยะ 5 ปีข้างหน้า
ตั้งเป้าผลิตกำลังคน ด้านเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงไว้ที่ 80,000 คน
ด้าน EV 150,000 คน
และด้าน AI 50,000 คน
2.2 ปัจจุบัน อว.ได้เริ่มดำเนินการผลิตกำลังคนรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคตไปแล้ว 6 โครงการ มีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ
โดยมี 3 โครงการที่เป็น Quick Win เห็นผลในระยะสั้น ได้แก่
“1.การพัฒนาและเพิ่มทักษะ (Upskill/Reskill) เช่น
โครงการ STEM PLUS หลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้น สำหรับกำลังคนที่อยู่ในอุตสาหกรรม โดยมีแรงจูงใจให้บริษัทเอกชนที่ส่งบุคลากรมาเรียน สามารถนำค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมไปลดหย่อนภาษีได้ 250%
ปัจจุบัน มีหลักสูตรด้านอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง 150 หลักสูตร ด้าน EV 124 หลักสูตร ด้าน AI 313 หลักสูตร
ตั้งเป้าผลิตกำลังด้านเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง 12,500 คนต่อปี
ด้าน EV 24,000 คนต่อปี
ด้าน AI 8,000 คนต่อปี
2.โครงการ Coop+ หรือ สหกิจศึกษาพลัส
นำนักศึกษาในสาขาที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักเตอร์มาพัฒนาทักษะเพิ่มเติมและฝึกงานกับภาคอุตสาหกรรม หลังจบการศึกษาแล้วยังสามารถทำงานกับบริษัทได้ทันที
โดยตั้งเป้าผลิตกำลังคนด้านเซมิคอนดักเตอร์ 1,500 คนต่อปี
เริ่มนำร่องไปแล้วกับ 8 บริษัทชั้นนำ
ขณะที่ด้าน EV และ AI ก็จะใช้รูปแบบเดียวกัน
โดยตั้งเป้าด้าน EV 500 คนต่อปี ด้าน AI 500 คนต่อปี
3.โครงการสหกิจศึกษาในต่างประเทศ
โดยการส่งนักศึกษาไปฝึกงานในมหาวิทยาลัยหรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ 3 ด้านนี้ในต่างประเทศ
ส่วนโครงการที่ 4 ถึง 6 เป็นแผนระยะกลางและยาว ที่จะเห็นผลภายใน 2-4 ปี
4. การจัดทำหลักสูตรแซนด์บ็อกซ์ เซมิคอนดักเตอร์ ทั้งระดับปริญญาตรีและโท โดย 15 มหาวิทยาลัย คาดว่าจะผลิตกำลังคนได้ 1,300 คนต่อปี
ด้าน EV จะเปิดสอนได้ในปีหน้า
และด้าน AI ได้เปิดสอนแล้ว 2 หลักสูตรใน 6 มหาวิทยาลัยที่ ตั้งเป้าผลิตกำลังคนให้ได้ 1,000 คนต่อปี
5.การจัดทำหลักสูตรเซมิคอนดักเตอร์ EV และ AI ร่วมกับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ
ระดับปริญญาตรีและโท เป็นหลักสูตร International Program ตั้งเป้าผลิตกำลังคนไม่น้อยกว่า 200 คนต่อปี
6.การสนับสนุนทุนการศึกษาระดับปริญญาเอก
ล่าสุด ได้ร่วมมือกับอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน สหราชอาณาจักร ในการส่งนักเรียนทุนไปเรียนต่อในระดับปริญญาเอกด้านเซมิคอนดักเตอร์
และจะดำเนินการในลักษณะเดียวกันในด้าน EV และด้าน AI” – รัฐมนตรี อว.เปิดเผย
3. รัฐมนตรี อว. ยังระบุว่า มีแผนการยกระดับห้องปฏิบัติการในมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัย ให้เป็นศูนย์ฝึกอบรม (Training Centers)
เพื่อรองรับการพัฒนากำลังคนด้านเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง EV และ AI ทั้งในกรุงเทพฯ และภูมิภาค
โดยตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี จะมีจำนวน 10 แห่ง ด้าน EV จำนวน 15 แห่ง และด้าน AI จำนวน 9 แห่ง
นอกจากนี้ กระทรวง อว. จะนำ 6 แนวทางข้างต้น ไปขยายผลให้ครอบคลุม 8 อุตสาหกรรมใน IGNITE THAILAND
โดยได้เริ่มดำเนินการแล้ว เช่น การจัดทำหลักสูตรแซนด์บ็อกซ์ ปัจจุบันมี 14 หลักสูตร เช่น ด้านการบิน เปิดสอนแล้ว 2 หลักสูตร ด้านสุขภาพและการแพทย์ มี 4 หลักสูตร ที่เปิดสอนแล้ว เป็นต้น
ที่สำคัญกระทรวง อว. ยังมีแผน จัดสรรทุนการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีในการผลิตคนใน 8 กลุ่มอุตสาหกรรมตามนโยบายนายกรัฐมนตรี ทั้งที่เป็นทุนภายใต้การกำกับของกระทรวง อว. หรือร่วมกับหน่วยงานอื่น เช่น กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โดยได้มีการหารือการจัดสรรทุนของ กยศ. สำหรับนักศึกษาใน 8 กลุ่มอุตสาหกรรมนี้
4. อันที่จริง การขับเคลื่อนนโยบาย IGNITE THAILAND ทั้ง 8 ด้าน
ได้แก่ Tourism Hub Wellness & Medical Hub Agriculture & Food Hub Aviation Hub Logistic Hub Future Mobility Hub Digital Economy Hub และ Financial Hub
ล้วนแต่ต้องใช้ทักษะความรู้ของคนเข้าไปขับเคลื่อนทั้งสิ้น จึงจะสำเร็จ
การสร้างคน การสร้างการศึกษา และสร้างอาชีพให้กับเยาวชน จึงเป็นสิ่งที่ประเทศไทยควรลงทุนขนานใหญ่
การพัฒนาทักษะของคน Upskill และ Reskill
ที่ผ่านมา นายกฯ เดินทางไปทั่วโลก เพื่อเชิญชวนนักธุรกิจ ในอุตสาหกรรมที่มี High Technology มาลงทุนในประเทศไทย เช่น Semiconductor & Advanced Electronics, EV, AI
อุตสาหกรรมเหล่านี้ ต้องการ High – Skilled Workforce ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อการดึงดูดนักลงทุนและสร้างศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ
นั่นยิ่งต้องลงทุนกับการสร้างคนให้พร้อมอย่างขนานใหญ่ที่สุด โดยเร็วที่สุด
เป้าหมายที่รัฐมนตรี อว.ประกาศไว้ น่าสนใจมาก ควรสนับสนุนให้ทำสำเร็จจริง
ภายในระยะ 5 ปีข้างหน้า ที่ตั้งเป้าสำหรับ Semiconductor & Advanced Electronics ไว้ที่ 80,000 คน EV 150,000 คน และ AI 50,000 คน
คนเหล่านี้ มีงานทำแน่นอน มีรายได้ระดับสูง และจะเป็นการยกระดับเศรษฐกิจของประเทศในด้านอื่นๆ ต่อไปด้วย
วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม คือ ทางสร้างเศรษฐกิจชาติในโลกยุคใหม่
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี