ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยกำลังประสบปัญหาหนัก จนหลายคนวิตกว่าอาจจะเข้าสู่สภาวะวิกฤตได้ในอนาคต ถัาหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยเร็ว ทั้งนี้ อ้างอิงข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ระบุภาพรวมยอดขายที่อยู่อาศัยในประเทศไทยลดลงร้อยละ 26.6 โดยมีรายละเอียดดังนี้ ตั้งแต่ไตรมาส 1/2567 พบว่ายอดขายลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/2566 สรุปคือในไตรมาส 1/2567 มียอดขายใหม่จำนวน 15,619 หน่วย (รวมถึงบ้านในพื้นราบและคอนโดมิเนียม) หรือลดลงร้อยละ 26.6 คิดเป็นมูลค่า 90,069 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 14.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
นั่นหมายความว่าในขณะนี้มีบ้านและคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้ว แต่ยังขายไม่ได้จำนวน 213,429หน่วย คิดเป็นมูลค่า 1,217,916 ล้านบาท คือมีจำนวนหน่วยที่เหลือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 16.4หากคิดถึงตัวเลขมูลค่าก็เพิ่มขึ้น ร้อยละ 36.5 ข้อมูลที่นำเสนอนี้มาจากรายงานผลสำรวจภาคสนามด้านอุปทานและอุปสงค์โครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการรอขาย ประจำไตรมาส 1/2567 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล 5 จังหวัด โดยสำรวจจากโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่น้อยกว่า 6 หน่วย
ทีนี้ลองมาพิจารณาว่า หากจะขายจำนวนหน่วยที่เหลือให้หมด ต้องใช้เวลานานเท่าไร ก็ได้คำตอบว่าจะต้องใช้เวลานานประมาณ 40 เดือน ซึ่งมีการระบุว่า การขายบ้านและคอนโดมิเนียมในยุคนี้ ขายได้น้อยกว่ายุคโควิด-19 แพร่ระบาดเสียอีก แล้วถ้าหากยังเกิดปัญหาเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆก็จะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีจำนวนหน่วยเหลือเป็นจำนวนมาก
ถามว่าทำไมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยจึงประสบปัญหาค่อนข้างหนักจนอาจเข้าขั้นวิกฤต ก็ต้องตอบว่า อันที่จริงไม่ใช่เพียงแค่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เท่านั้นที่ประสบปัญหา เพราะจริงๆ แล้วยังมีอีกหลายธุรกิจประสบปัญหาอย่างหนักเช่นกัน เช่น การผลิตในภาคโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆและธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ รวมถึงธุรกิจในกลุ่ม SME ทั้งหลาย ในขณะที่โรงงานของไทยจำนวนไม่น้อยปิดตัวลงทุกเดือน หากดูจากข้อมูลที่ปรากฏผ่านสื่อมวลชนสายเศรษฐกิจ พบว่าตั้งแต่ต้นปี 2566 ถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 พบสถิติการปิดตัวของโรงงานแล้วกว่า 1,700 แห่ง ส่งผลให้เกิดปัญหาการว่างงานมากกว่า 42,000 ตำแหน่ง ที่สำคัญคือ พบว่าโรงงานขนาดใหญ่ปิดตัวค่อนข้างมาก ส่วนอัตราการเปิดโรงงานใหม่ ก็พบว่าเป็นเพียงโรงงานขนาดเล็ก แล้วก็ยังพบว่าโรงงานใหม่ ซึ่งเป็นโรงงานเล็กๆ เปิดตัวเฉลี่ยเพียงเดือนละ50 โรงเท่านั้น
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ระบุว่าพบการหดตัวในการผลิตภาคอุตสาหกรรม โดยพบว่าตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 ถึงเดือนมีนาคม 2567 พบว่ามีตัวเลขติดลบต่อเนื่องยาวนานมากในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมไทย ถึงแม้ว่ามูลค่าการค้าโลกจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาแล้วก็ตาม โดยเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ปลายปี 2566 แต่สำหรับไทยนั้น พบว่าภาคอุตสาหกรรมของบ้านเรายังไม่ฟื้นตัวมากนัก
สรุปคือภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังไม่ดีนัก เมื่อเป็นเช่นนี้จึงส่งผลให้ธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยไม่สดใส แล้วยังชะลอตัวอีกด้วย คาดการณ์ว่าภาพรวมทั้งปี 2567 ยอดขายบ้านและคอนโดมิเนียมจะยังคงไม่สดใส และจะยังมีหน่วยเหลืออีกค่อนข้างมาก
ทีนี้ก็ต้องมาจับตาดูกันต่อไปว่า รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันที่มีนายกรัฐมนตรี (หุ่นกระบอก) ที่มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะมีปัญญาฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยได้หรือไม่ หรือว่านอกจากจะไม่มีปัญญาแล้ว ยังจะสร้างหนี้สินจำนวนมหาศาลให้ประเทศไทยต่อไปโดยปราศจากความร้บผิดชอบ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี