การประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาดเป็นสาเหตุสำคัญของความปราชัยในศึกสงครามทั้งปวง ก็แลการเมืองนั้นก็เป็นสงครามชนิดหนึ่งคือเป็นสงครามที่ไม่หลั่งเลือด เป็นการสงครามที่มีลักษณะด้านหนึ่งป้องกันตนเอง ขยายกำลังของตนให้เติบใหญ่ และอีกด้านหนึ่งคือการทำลายข้าศึกให้อ่อนแอล่มสลายให้จงได้ การเมืองไทยสิบกว่าปีที่ผ่านมาก็มีลักษณะเป็นเช่นนี้
เมื่อการเมืองเป็นสงคราม ภารกิจสำคัญที่สุดแรกเริ่มก็คือการกำหนดมิตรและศัตรู ต้องพิจารณาใคร่ครวญให้จงหนักว่าจะสามัคคีใครมาเป็นมิตร และใครคือศัตรูที่แท้จริงที่จะทำสงครามแก่กัน
จะต้องสันทัดที่จะต้องทำความเข้าใจปรากฏการณ์กับธาตุแท้ให้ชัดเจนว่าสิ่งใดเป็นปรากฏการณ์ สิ่งใดเป็นธาตุแท้ที่แปรผันไม่ได้ เพราะถ้ามองสถานการณ์ผิดพลาด เข้าใจธาตุแท้ผิดพลาดก็จะนำไปสู่การประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาด การกำหนดศัตรูและมิตรที่ผิดพลาดและทำให้การทำสงครามหลงทิศผิดทางเข้าป่าเข้าดง จนกระทั่งปราชัยวายวอดแบบไม่รู้สึกตัว
ฝ่ายอนุรักษ์นิยมทำสงครามการเมืองกับระบอบทักษิณต่อเนื่องมากว่า 18 ปีแล้ว เป็นกระแสความขัดแย้งหลักของประเทศไทย หลังจากความขัดแย้งใหญ่ที่ทำสงครามกลางเมืองระหว่างกันระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2508 และสิ้นสุดยุติลงด้วยนโยบายสันติวิธี 66/2523 เมื่อปี 2526
บ้านเมืองก็ร่มเย็นเป็นสุขเรื่อยมาและเดินหน้าพัฒนาประเทศไทยไปได้ก้าวใหญ่ จนกระทั่งถึงปี 2548 ความขัดแย้งใหญ่ก็ก่อตัวขึ้น ระหว่างฝ่ายหนึ่งคือระบอบทักษิณกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม ซึ่งในขณะนั้นชูธงผืนนี้ขึ้นโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ความขัดแย้งใหญ่เริ่มขยายตัวบานปลายมาตั้งแต่บัดนั้นและไม่เคยชะลอตัวลดน้อยถอยลงเลย
การสงครามระหว่างกันได้ดำเนินมาอย่างเข้มข้น แม้ในระยะผ่านได้เปลี่ยนรูปโฉมเป็นรูปแบบของ กปปส. หรืออื่นใด แม้กระทั่ง คสช. ก็เป็นการแปรขบวนของการต่อสู้ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมทั้งนั้น
ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปี 2566 เป็นเวลา 18 ปีเต็มเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเท่ากับช่วงความขัดแย้งปี 2508-2526 แม้ไม่ถึงขั้นจะจับอาวุธประหัตประหารเป็นสงครามกลางเมือง แต่เป็นสงครามที่ลึกซึ้ง แหลมคม และขยายเป็นวงกว้างในทุกมิติ ในทุกปริมณฑลของสังคมไทย เกิดเป็นความขัดแย้งแตกแยกครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติ เป็นเหตุให้มีการยุบพรรคของฝ่ายระบอบทักษิณถึง 2 ครั้ง มีการถอดถอนนายกรัฐมนตรีของระบอบทักษิณ 3 คน ทำให้รัฐบาลเหล่านั้นล้มครืนลง แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ จนในที่สุดก็เกิดการรัฐประหารขึ้นอีก 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 แม้กระนั้นแล้วความขัดแย้งและการสงครามก็ยังยืดเยื้อเรื้อรังต่อมา
จนในที่สุดก็เกิดปรากฏการณ์ขั้วใหม่คือขั้วเยาวชนคนหนุ่มคนสาวที่มีความเร่าร้อนและเล็งเห็นว่าประเทศไทยไม่อาจอยู่ในสภาพเดิมได้อีกต่อไป จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในทุกระบบ จึงก่อการเคลื่อนไหวใหญ่อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่เยาวชนคนรุ่นใหม่ ซึ่งทำให้การก่อตัวของกลุ่มใหม่ขยายตัวเติบโตอย่างรวดเร็ว และเกิดการตื่นตัวขึ้นอย่างกว้างขวางด้วยพลังอำนาจของการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
สร้างความประหวั่นและอกสั่นขวัญแขวนให้กับระบอบทักษิณและฝ่ายอนุรักษ์นิยม และต่างก็ถือว่าขั้วใหม่นี้เป็นปรปักษ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่จะให้เติบใหญ่ต่อไปไม่ได้ ดังนั้นขั้วการเมืองใหม่จึงกลายเป็นศัตรูร่วมของฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายระบอบทักษิณ การต่อสู้ได้ขับเคี่ยวกันมาอย่างกว้างขวาง ดุเดือด และรุนแรง จนเยาวชนคนรุ่นใหม่ของชาติจำนวนมากถูกกล่าวหาด้วยคดีอาญามาตรา 112 และคดีความมั่นคง จนเกิดแนวทางปฏิบัติในการกักขังไว้ระหว่างคดีไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหวใดๆ ได้อีก จึงเกิดการประท้วงขึ้นอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งมีการเสียชีวิตเพราะการประท้วงเรื่องนี้มาแล้ว และกลายเป็นปุ๋ยอย่างดีให้กับความชอบธรรมในการเคลื่อนไหว
เพราะทุกฝ่ายเห็นว่าขบวนการเยาวชนคนหนุ่มสาวเป็นศัตรูร้ายแรงที่ร่วมกัน ดังนั้น ไม่ทันนานพรรคอนาคตใหม่ก็ถูกยุบตามแนวคิดยุบพรรคมาแต่เดิม ซึ่งเป็นลัทธิความคิดประหารเจ็ดชั่วโคตรที่ป่าเถื่อน และไม่มีที่ไหนในโลกเขาใช้กันแล้ว จึงกลายเป็นการสร้างความชอบธรรมให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ว่าการยุบพรรคนั้นเป็นการกระทำของคนสิ้นคิดที่ไม่มีทางที่จะเป็นมิตรได้อีกต่อไป
และเหตุผลความชอบธรรมอยู่ข้างเยาวชนคนรุ่นใหม่เพราะหลักกฎหมายทั่วไป บุคคลจะต้องไม่ต้องรับผิดแทนกันและจะลงโทษแทนกันไม่ได้ หลักกฎหมายประหารเจ็ดชั่วโคตรที่ป่าเถื่อนได้ถูกยกเลิกไปนานแล้ว และไม่มีที่ไหนในโลกเขาใช้กัน
ประชาชนเข้าใจเป็นอย่างดีว่าพระองค์หนึ่งปาราชิกก็ต้องสึกพระรูปนั้น จะไปยุบวัดหรือทำลายวัดไม่ได้ ตำรวจคนหนึ่งทุจริตก็ต้องไล่ตำรวจคนนั้นออกจากราชการ จะไปยุบสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้ หรือรัฐมนตรีคนหนึ่งโกงก็ต้องปลดรัฐมนตรีคนนั้นออกไป จะไปยุบ ครม. ทั้งคณะไม่ได้ หรือ สส.สว. คนหนึ่งโกงก็ต้องไล่ออกจากตำแหน่งไป จะไปยุบสภาไม่ได้ฉันใด
หาก สส.ทำผิดก็ต้องลงโทษ สส.จะไปยุบพรรคการเมืองไม่ได้ฉันนั้น เพราะพรรคเป็นของประชาชนที่เป็นสมาชิกพรรคทั้งหมด และเป็นของประชาชนที่เลือกตั้งพรรคการเมืองนั้น ไม่ใช่ของ สส.การที่ สส.หากทำผิดแล้วไปยุบพรรคการเมืองจึงเป็นการใช้หลักกฎหมายประหารเจ็ดชั่วโคตรที่ป่าเถื่อนนั่นเอง
ผลการเลือกตั้ง 2566 พรรคก้าวไกลชนะท่วมท้น ได้รับฉันทามติจากประชาชนให้จัดตั้งรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตย แต่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายระบอบทักษิณได้ฮั้วกันใช้ไสยศาสตร์ทางกฎหมายถีบหัวส่งพรรคก้าวไกลออกไป แล้วให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล จึงเกิดข่าวดีลอันลือลั่นขึ้น และดีลนี้แหละจะเป็นปฐมบทอันใหม่ที่จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ของประเทศไทยต่อไป
เป็นความชอบธรรมของระบอบทักษิณที่จะช่วงชิงอำนาจรัฐด้วยวิธีการทุกรูปแบบ แต่เป็นความอัปยศอดสูและความโง่เขลาเบาปัญญาของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ประเมินสถานการณ์ผิดพลาดร้ายแรง ถึงขั้นพลาดตาเดียวแพ้ทั้งกระดาน คือกลัวพรรคก้าวไกลมากกว่าสิ่งอื่นใด โดยลืมคำนึงไปว่าพรรคก้าวไกลนั้นยังกระดูกอ่อน พลังทางการเมืองและอื่นๆ ยังอ่อนด้อยเทียบกับพรรคเพื่อไทยไม่ได้เลย ฝ่ายอนุรักษ์นิยมจึงลืมความหลัง18 ปี ไปตกลงฮั้วยกบ้านเมืองให้กับพรรคเพื่อไทยและเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งแบบใหม่ขึ้นมาอีก ถึงขั้นจะเอาแผ่นดินกลับคืนมา จนเกิดเหตุวันมหาวินาศเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567
แต่ในที่สุดความจริงก็ปรากฏชัดว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมประเมินสถานการณ์ผิดพลาดและปราชัยยับเยิน ในขณะที่ระบอบทักษิณได้ช่วงชิงชัยชนะได้มาซึ่งอำนาจรัฐเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและขยายอำนาจรัฐและเสริมความแข็งแกร่งอย่างทั่วด้าน ไม่ต่างกับสภาพพรรคไทยรักไทยก่อนเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 เลย
แต่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมนั้นยังคงหลงอยู่ในวังน้ำวน ด้านหนึ่งก็จะทำศึกกับระบอบทักษิณเพื่อชิงแผ่นดินคืน อีกด้านหนึ่งก็กลัวพรรคก้าวไกล จะต้องทำลายเสียให้สิ้นซากโดยไม่เข้าใจว่าสิ้นพรรคก้าวไกลไปวันไหน พรรคเพื่อไทยก็จะไม่มีคู่ต่อสู้ทางการเมืองในสภาเลย และจะคุมอำนาจรัฐเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมั่นคงยิ่งกว่าปี 2549 หลายเท่า
ความโง่เขลาของฝ่ายอนุรักษ์นิยมคือแยกมิตร แยกศัตรู ไม่ถูก และมุทะลุบ้าคลั่ง คิดว่ามีพลังอำนาจที่จะเอาชนะทั้งระบอบทักษิณและพรรคก้าวไกลได้ มีสภาพไม่ต่างกับกวนอูตอนที่ขงเบ้งมอบให้รักษาเมืองเกงจิ๋ว
ในครั้งนั้นขงเบ้งถามว่าถ้าโจโฉยกกองทัพมาจะทำอย่างไร กวนอูบอกว่ารบโจโฉ ขงเบ้งถามต่อว่าถ้าซุนกวนยกกองทัพมาจะทำอย่างไร กวนอูตอบว่ารบซุนกวน ขงเบ้งถามอีกว่าถ้าโจโฉและซุนกวนยกมาพร้อมกันจะทำอย่างไร กวนอูตอบว่าจะรบทั้งโจโฉและซุนกวน ขงเบ้งจึงกล่าวว่าถ้าเป็นแบบนี้กวนอูจะหัวขาดและจะเสียเมืองเกงจิ๋วด้วย จึงได้บอกคาถาแปดคำ คือ “เหนือรบโจโฉใต้ผูกมิตรซุน” แต่ในที่สุดกวนอูก็รักษาคาถานี้ไว้ไม่ได้ยังทำการตามเดิมคือเหนือรบโจ ใต้รบซุน จึงต้องหัวขาดและต้องเสียเมืองเกงจิ๋วด้วย
ฝ่ายอนุรักษ์นิยมในวันนี้ก็แบบเดียวกับกวนอูในวันนั้น แต่จะไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นถ้าหากสำเหนียกหรือเข้าใจแต่เพียงน้อยนิดว่าการยุบพรรคก้าวไกลคือการตีงูให้กากิน คือการกำจัดเสี้ยนหนามให้กับพรรคเพื่อไทยให้ยึดครองอำนาจประเทศไทยอย่างจีรังยั่งยืนมีอำนาจเหนือกว่าคนทั้งปวงในแผ่นดินนี้
ถ้าฝ่ายอนุรักษ์นิยมเข้าใจเรื่องนี้ แผ่นดินนี้ก็ยังมีความหวังที่จะกอบกู้กลับคืนมาได้ หาไม่แล้วก็เตรียมรับสภาพสิ้นชาติได้เลย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี