การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม มีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิดหากตัวใดตัวหนึ่งเลวทราม ก็จะส่งผลกระทบด้านลบอย่างรุนแรงถึงตัวอื่นๆ อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
ปัญหาสำคัญของไทยในยุคนี้ อยู่ที่การเมือง หรือเศรษฐกิจ หรือสังคม หรือว่าเกิดปัญหาใหญ่พร้อมๆ กันทั้งสามด้าน แต่ทุกวันนี้ เมื่อไปพูดคุยกับใครๆ ก็ตาม จะได้ยินเสียงบ่น (ประณาม) เรื่องปัญหาเศรษฐกิจเลวร้าย หนี้สินล้นพ้นตัว ขายของไม่ได้ ไม่มีเงินซื้อของ ธุรกิจไปไม่รอด ตกงาน แต่บางกิจการก็บอกว่าขาดแรงงานที่มีทักษะ มีฝีมือ บางก็บอกว่าดอกเบี้ยแพง บ้างก็บอกว่าแบงก์ไม่ปล่อยกู้ บ้างก็บอกว่าหุ้นตก จนตัวเองกลายเป็นแมลงเม่าที่ติดบนดอยสูงมาเป็นปีแล้ว ฯลฯ
สรุปเบื้องต้นคือทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่บ่นว่าเศรษฐกิจไทยมีปัญหาหนักมาก พร้อมๆ กับบ่นว่า รัฐบาลไทยชุดนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ บางรายก็บอกว่าตัวปัญหาคือรัฐบาล บางรายก็บอกว่าตัวปัญหาคือธนาคารแห่งประเทศไทยที่ไม่ยอมลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย บางรายก็บ่นว่ารัฐบาลดีแต่สร้างหนี้สิน ฯลฯ
ความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้คือ ทุกวันนี้เศรษฐกิจไทยมีปัญหาหนักมาก และอยู่ในสภาพน่าเป็นห่วงมาก นักเศรษฐศาสตร์บอกว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตช้ากว่าที่ควรจะเป็น ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้ดีกว่านี้ โดยยกตัวอย่างชัดๆ ว่าในบรรดา 189 ประเทศทั่วโลก พบว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าในลำดับที่ 162 สรุปชัดๆ ว่า เศรษฐกิจไทยเติบโตเชื่องช้ามาก จนเข้าขั้นมีปัญหาเศรษฐกิจ
คำถามตามมาคือ ทำไมเศรษฐกิจไทยไม่ฟื้นตัว มีผู้ตอบคำถามนี้ว่า เพราะเศรษฐกิจไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้าง ทำให้ไม่ฟื้นตัว ทั้งๆ ที่ประเทศอื่นๆ เขาฟื้นกันแล้ว แต่ไทยเราไม่ฟื้น นี่มันคือปัญหาภายในประเทศของเราเอง ใช่หรือไม่ ปัญหานี้มันเกิดจากคนไทยทั้งประเทศไม่สนใจดูแลเศรษฐกิจไทยใช่หรือไม่ เราปล่อยให้นักการเมืองทำลายประเทศไทย มาโดยตลอด ใช่หรือไม่
มีตัวเลขระบุว่า ในขณะที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแล้ว โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวประมาณ 2.7 เปอร์เซ็นต์ต่อปีแต่ทว่าเศรษฐกิจไทยกลับสวนทาง เพราะอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยหดตัวลงเรื่อยๆ นักเศรษฐศาสตร์มองว่าปัญหาที่เกิดกับเศรษฐกิจไทยคือ เศรษฐกิจไทยไม่ได้เติบโตไปตามเศรษฐกิจโลก ทั้งๆ ที่ดูเสมือนว่าเศรษฐกิจโลกเติบโต แต่ในความเป็นจริง ก็ยังเกิดปัญหากับเศรษฐกิจโลกอยู่ด้วย ปัญหาที่ทำให้เศรษฐกิจโลกยังคงมีปัญหาคือ สงครามการค้า การกีดกันทางการค้า และปัญหา geopolitics สงครามและการสู้รบที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ตลอดเวลา แม้จะไม่ใช่สงครามโลก แต่ก็คือการสู้รบที่ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา รวมถึงประเด็น decoupling ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน(decoupling คือการแยกตัวของห่วงโซ่อุปทาน) คือการแข่งขันกันทางการค้าแบบดุเดือด กีดกันการค้ากันอย่างรุนแรง
แต่ปัญหาต่างๆ ข้างต้นก็ยังไม่ส่งผลกระทบมากนักกับประเทศที่มีขนาดใหญ่ มีจำนวนพลเมืองมากๆ และมีกำลังซื้อในระดับที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีอัตราการบริโภคในประเทศอยู่ในระดับสูง เช่น สหรัฐฯ จีน และอินเดีย ประเทศเหล่านี้ยังคงสามารถพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศได้ ทำให้เศรษฐกิจในประเทศยังดำเนินต่อไปได้ แต่ประเด็นดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นกับประเทศไทย เพราะไทยมีอัตราการบริโภคภายในประเทศค่อนข้างต่ำ กำลังซื้อภายในประเทศค่อนข้างน้อย ตลาดในประเทศมีขนาดเล็ก สรุปคือ ไทยมีปัญหาdomestic economy เพราะไทยยังต้องพึ่งพาการส่งออก เมื่อเศรษฐกิจของโลกยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ไทยจึงส่งออกได้น้อยลง แล้วเมื่่อการค้าโลกอยู่ในสภาพย่ำแย่ การส่งออกของไทยก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย เศรษฐกิจไทยจึงทรุดตัว ประกอบการการบริโภคในประเทศไทยก็อยู่ในอัตราที่ต่ำ ก็จึงทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจหดตัวตามมา
คาดกันว่า หากสภาพปัญหาเศรษฐกิจไทยยังคงดำเนินไปเช่นนี้ ก็มีแนวโน้มว่าช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจไทยจะยิ่งหดตัวหนักกว่าเดิม เศรษฐกิจไทยจะทรุดตัวมากลงเป็นลำดับ ซึ่งสะท้อนว่ากลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยหายไปจนเกือบหมดสิ้น ไม่มีปัจจัยกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้วิตกว่าช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจไทยจะยิ่งทรุดลง เพราะเผชิญทั้งปัจจัยลบทั้งจากภายนอกประเทศและภายในประเทศพร้อมๆ กัน
ยังคงมีคำถามว่า ในเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแล้ว แต่เหตุใดเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัว ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง เมื่อเศรษฐกิจโลกดี เศรษฐกิจไทยก็จะต้องดีตามไปด้วย แต่สำหรับยุคปัจจุบันพบว่าแม้เศรษฐกิจโลกจะค่อนข้างดี แต่การส่งออกสินค้าไทยกลับยังลดลง ส่งออกได้น้อย ส่วนการใช้จ่ายของภาครัฐก็ยังคงน้อย การเบิกจ่ายเงินงบประมาณในส่วนราชการต่างๆ ยังเชื่องช้า ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยไม่เติบโต แต่ยังโชคดีพอประมาณที่ไทยยังมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจของประเทศไว้ ปัจจุบันไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าเสริมรายได้ โดยมีสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยตั้งแต่ต้นปี 2567 ถึงช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2567 ประมาณ 13,160,000 ล้านคน เพิ่มขึ้น 39 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ทำรายได้ให้ประเทศประมาณ 6 แสน 3 หมื่นล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าไทยมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ จีน ประมาณ 2.6 ล้านคน มาเลเซีย 1.7 ล้านคน รัสเซีย 8 แสนคน เกาหลีใต้ 7.3 แสนคนและอินเดีย 7.2 แสนคน
อย่างไรก็ตาม การพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นเรื่องที่นับว่าละเอียดอ่อนมาก เพราะไม่มีความยั่งยืนถาวร หากเกิดปัญหาความไม่สงบใดๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ หรือเกิดปัญหาโรคระบาดร้ายแรง เช่น COVID-19 ก็จะส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงโดยทันที ทำให้ประเทศขาดรายได้โดยฉับพลัน
ดังนั้น เราจึงต้องกลับมาถามตัวเองให้ดีว่า เราจะพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวไปโดยตลอดกระนั้นหรือ เราจะไม่เน้น ไม่พัฒนาสินค้าตัวอื่นๆ ในภาค real sector ให้พัฒนาทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ บ้างหรือ หรือเราพอใจที่จะขายของเก่ากินไปวันๆ เท่านั้น หรือว่าเราไม่มีปัญญาพัฒนาสินค้าตัวอื่นๆ ที่ตลาดโลกต้องการ
คราวนี้ลองมาตั้งคำถามว่า ตกลงว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในสภาวะเจ็บป่วย จริงๆ หรือ ประเทศไทยมีปัญหาโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ ใช่หรือไม่ เราจะมีปัญญาแก้ปัญหาเหล่านี้ได้หรือไม่ และต้องใช้เวลาแก้ปัญหายาวนานสักเพียงใด ในขณะที่เราต้องประสบปัญหาพร้อมๆ กันทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน
เรายังไม่เห็นว่ารัฐบาลไทยประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เราไม่พบว่ารัฐบาลไทยวางแผนหรือมีนโยบายแก้ปัญหาระยะยาว แต่พบว่ามีเพียงแนวทางแก้ปัญหาระยะสั้นๆ หรือปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น เปรียบเสมือนเราเป็นมะเร็งตับระยะ 2-3 แต่รัฐบาลแก้ปัญหาด้วยการให้กินยาแก้ปวด โดยไม่แก้ปัญหาระยะยาว ไม่รักษาให้ถูกจุดตรงประเด็นแต่เน้นการแก้ปัญหาแบบขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้น จึงไม่มีทางแก้ปัญหาระยะยาวได้อย่างแน่นอน
เราต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีปัญหาใหญ่คือ สูญเสียความสามารถในการแข่งขันไปแล้ว เราไม่สามารถสร้างสินค้าที่ตลาดโลกยุคใหม่ต้องการได้ เราไม่มีความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกสินค้า เราจึงไม่สามารถครองใจประเทศผู้ซื้อสินค้ายุคนี้ได้ เราพบว่าการส่งออกของไทยลดลงเป็นลำดับ และยังมองไม่ออกว่าจะแก้ปัญหานี้ได้เมื่อไร
ในสภาวการณ์ที่โลกทำสงครามการค้ากันอย่างรุนแรงและเข้มข้นขึ้น กีดกันการค้าการขายกันอย่างรุนแรง ส่วนสินค้าไทยก็ไม่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก ไทยส่งสินค้าออกได้น้อยลงในขณะที่ผู้ผลิตสินค้ารายต่างๆ บนโลกใบนี้เขาพัฒนาสินค้าที่ตลาดโลกต้องการ แต่สินค้าอุตสาหกรรมไทยหลายตัว กลับไม่เป็นที่ต้องการของตลาด การส่งออกของไทยโตช้ากว่าการเติบโตเศรษฐกิจโลก เราต้องยอมรับความจริงว่าการผลิตของเราไม่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดโลกได้ เพราะโครงสร้างการผลิตสินค้าไทยมีปัญหาหมักหมมมาโดยตลอด
ปัญหาการส่งออกของไทยกลายเป็นปมปัญหาใหญ่ และจะบานปลายไปเรื่อยๆ หากเรายังไม่สามารถผลิตสินค้าที่ตลาดโลกต้องการได้ ส่วนปัญหาที่เห็นชัดๆ อีกเรื่องคือภาคการผลิตของไทยลดลง MPI (Manufacturing Production Index หรือดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม) ที่เป็นดัชนีสะท้อนค่า GDP ในภาคอุตสาหกรรม โดยดัชนีตัวนี้ลดลง ผู้ผลิตสินค้าไทยผลิตสินค้าแล้วขายของไม่ได้ เมื่อผู้ผลิตขายของไม่ได้ ก็จึงเลิกจ้างคนงานในส่วนการผลิต เมื่อคนตกงาน ก็ไม่มีกำลังซื้อ ปัญหานี้จึงวนเวียน คือคนผลิตสินค้าแล้วขายของไม่ได้ ก็ปลดหรือเลิกจ้างคนงาน คนงานตกงานไม่มีกำลังซื้อ คนขายของก็ยิ่งผลิตของน้อยลงไปอีก เกิดเป็น negative feedback loop ปัญหาเชิงลบที่วนกลับไปกลับมาเช่นนี้ทำให้การผลิตของไทยแย่ลง และจะแย่ลงไปเรื่อยๆ หากปัญหาเกิดขึ้นต่อเนื่องต่อไป เราอาจจะเจอกับปัญหาที่ร้ายแรงมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ก็เป็นได้
ทุกว้นนี้ เราจะพบว่าคนทั่วไป และจำนวนมากบ่นว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่ทำไมรัฐบาลไทยไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจเลวร้ายได้ แล้วทำไมบางหน่วยงานของไทยจึงบอกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังจะฟื้นตัว และบอกอีกว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้เลวร้ายอย่างที่หลายคนเข้าใจ ทำไมเราอยู่ในสังคมเดียวกัน แต่เรามองปัญหาเศรษฐกิจต่างกันคนละมุม แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ก็ยังคงบ่นเหมือนๆ กันว่าเศรษฐกิจไทยไม่ดี ทำมาหากินยากลำบาก ปัญหาคือในขณะนี้คนไทยมีหนี้สินมากมายล้นพ้นตัว คนมีรายได้น้อย แต่มีรายจ่ายมากเท่าเดิม หรือมากกว่าเดิม คนจนไม่มีเงินจับจ่ายซื้อหา แต่ก็ยังไม่น่ากลัวเท่ากับปัญหาคนที่มีรายได้ แต่ลดการใช้จ่ายลง หรือบางรายก็ยุติการใช้จ่ายลงด้วย ปัญหานี้จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยมากและหนักหน่วงกว่าเดิมในอนาคต เราไม่ประหลาดใจที่คนไม่มีเงินไม่มีกำลังซื้อ ไม่สามารถใช้จ่ายได้ แต่หากเกิดปัญหาคนมีเงินลดการใช้จ่าย หรือลดการบริโภค การจับจ่าย เช่น ลดการซื้อสินค้าคงทน เช่น รถยนต์ บ้าน หากเป็นแบบนี้ก็น่าวิตกว่าจะเกิดปัญหาเศรษฐกิจทรุดตัวตามมาได้โดยง่าย
ถามว่า หากลดดอกเบี้ยแล้ว เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นจริงๆ หรือ เพราะเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้พยายามกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ถามต่อไปว่า เราจะส่งเสริมให้คนเป็นหนี้มากๆ ขึ้นหรือ เราลืมไปหรือเปล่าว่าปัจจุบันคนไทยมีหนี้สินรุกรังล้นพ้นตัว รายได้ไม่พอรายจ่าย ส่วนรัฐบาลก็พยายามก่อหนี้เพิ่มด้วยการกู้เพื่อนำเงินไปแจก เพื่อให้ได้คะแนนนิยมทางการเมืองเพิ่มขึ้น ถามว่าการกระทำเช่นนี้จะไม่ทำให้เศรษฐกิจไทยประสบภาวะล้มละลายในอนาคตหรือ ทุกวันนี้ คนมีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย ต้องสร้างหนี้สินเพิ่มขึ้นทุกๆ วัน แถมคนไทยส่วนใหญ่ยังมีปัญหาขาดเงินออมอีกด้วย การส่งเสริมให้คนเป็นหนี้ไม่น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับประเทศไทย แล้วเราต้องไม่ลืมว่า หากเกิดวิกฤตใดๆ ขึ้นมาในประเทศไทย หรือบนโลกใบนี้ จะกลายเป็นการก่อปัญหาซ้ำซ้อนหนักเข้าไปอีก เช่น ถ้าหากเกิดสงครามใหญ่ หรือเกิดโรคระบาดใหญ่ขึ้นมาอีก จนส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่เข้ามาเที่ยวไทย ไทยจะเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจสาหัสสักเพียงใด
ทุกวันนี้ สังคมไทยมีปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว และมีปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) หากเศรษฐกิจไทยทรุดหนักกว่าเดิม จะเกิดปัญหา NPL สาหัสยิ่งขึ้น ซึ่งก็จะเกิดปัญหา negative feedback loop ตามมาอีก เพราะสถาบันการเงินก็จะไม่ปล่อยกู้ หากปล่อยกู้ไปแล้ว ก็จะยิ่งเกิดปัญหา NPL หนักขึ้น สุดท้ายก็จะเกิดวิกฤตก้บสถาบันการเงิน แล้วปัญหาก็จะลุกลามบานปลายจนไม่สามารถหยุดยั้งได้
คำถามที่ต้องถามเหมือนเดิมคือ การเพิ่มสภาพคล่องในระบบ และการลดอัตราดอกเบี้ย จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยได้จริงหรือ เรายังมีคำถามตามมาอีกว่าแล้วจะลดดอกเบี้ยเมื่อไร หากลดดอกเบี้ยแล้ว ธนาคารจะปล่อยกู้จริงหรือ
สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับมาตรการการเงินและการคลังของประเทศ หากประเทศเรามีนักการเมืองผู้มีอำนาจรัฐเป็นคนดี มีศีลธรรม เห็นแก่ผลประโยชน์สาธารณะโดยแท้จริง ปัญหาเศรษฐกิจจะถูกขจัดได้โดยไม่ยาก แต่หากนักการเมืองของเราโง่ ไร้สติ ขาดความรับผิดชอบ สร้างแต่ปัญหา ก็จะทำให้ปัญหาต่างๆ และปัญหาเศรษฐกิจหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นจนไม่สามารถแก้ไขได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี