นายเศรษฐา ทวีสิน วัย 62 เป็นพ่อค้าบ้านจัดสรรที่มีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศนี้..ไม่ใช่เพราะความรู้ความสามารถและความสำเร็จจากการประกอบอาชีพธุรกิจ..แต่เป็นเพราะนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ดลบันดาลให้
อันหมายถึง น.ช.ทักษิณ ชินวัตร นายทุนและเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง..เป็นผู้กำหนด“ให้มีให้เป็น”..จึงทำให้นายเศรษฐา ทวีสิน ได้มีโอกาสนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี..ก็คล้ายกับ "บิ๊กแจ๊ส-พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง เมื่อครั้งเป็น ผบ.ชน. เคยประกาศว่า“มีวันนี้เพราะพี่ให้”..คือทักษิณเป็นผู้มีพระคุณในอาชีพตำรวจจนทำให้มีตำแหน่งสูงขึ้น
ลำพังแค่กำลังทรัพย์และกำลังสติปัญญาของนายเศรษฐา ทวีสิน คนเดียว..หากคิดจะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ ด้วยการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา..ต่อให้ตายไปแล้วกลับมาเกิดอีกสิบชาติ..นายเศรษฐาก็เป็นได้แค่พ่อค้าบ้านจัดสรรเท่านั้น
พ่อค้าบ้านจัดสรรนั้นเป็นง่าย เพียงแต่มีเงินทุนที่หนาแน่น และมีเครือข่ายในแวดวงหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง..ซึ่งสามารถจะเอื้อประโยชน์ให้ได้ ก็ถือว่าสำเร็จไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว..คือ มีเส้นสายจากการอุปถัมภ์ค้ำชูของผู้มีอำนาจ..ซึ่งใครจ่ายหนักก็มักจะมีโอกาสได้รับการเอื้อประโยชน์ได้มาก..ที่เหลือก็เป็นเรื่องเล่ห์เหลี่ยมและกลโกงในการดำเนินธุรกิจ
ระบบอุปถัมภ์ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวงจอุบาว์ของประเทศไทย ไม่เคยเปลี่ยนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร..เพราะฉะนั้น คนที่ประสบความสำเร็จจากการประกอบธุรกิจ จึงไม่ได้เป็นมาตรฐานที่จะนำมาชี้วัดว่า..หากผันตนเองออกไปทำงานในสายงานอื่นแล้วจะประสบความสำเร็จ..เช่นเดียวกับที่พ่อค้าอย่างนายเศรษฐา ทวีสิน เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี..โดยที่ 10 เดือนผ่านไปไม่มีผลงานอะไรเป็นที่ประจักษ์แม้แต่เรื่องเดียว
ยิ่งได้ฟังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี“หุ่นเชิด”ที่ถอดแบบจำลองมาจากนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร..พูดในรายการ“คุยกับเศรษฐา”เป็นเทปแรกเมื่อวันเสาร์ที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา..โดยมีนายธีรัตถ์ รัตนเสวี อดีตโฆษกรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตพิธีกร“CARE คิด เคลื่อน ไทย”..ซึ่งเปรียบเสมือนลูกไล่ที่เป็น“ลูกขุนพลอยพยัก”ให้แก่นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณในนาม“โทนี่ วู้ดซัม”ตอนยังเป็นนักโทษหนีคดีอยู่ในต่างแดน..ทำหน้าที่เป็นพิธีกรนั้น—ได้ฟังเทปนี้แล้ว ล้วนแต่เป็นคำแก้ตัวของนายเศรษฐา..อันเนื่องมาจากตนเอง“ไร้น้ำยา”ทั้งสิ้น
ประเด็นแรกก็คือเรื่องการเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างอื้ออึงว่า ไปแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น..เป็นนายกรัฐมนตรี 10 เดือนเดินทางจากการเดินสาย“เวิลด์ทัวร์”ในต่างประเทศทั้งหมด 17 ครั้ง 15 ประเทศนั้น..ประมาณการกันว่า ผลาญเงินงบประมาณแผ่นดินไปแล้วไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท..ทั้งค่าเหมาเครื่องบิน ค่ากินค่าอยู่ และค่าที่พัก--ประเด็นนี้นายเศรษฐาออกตัวเป็นการแก้ต่างว่า
"การเดินทางไปต่างประเทศ ไปเพื่อแนะนำตนเอง..และที่สำคัญคือนำมาซึ่งความมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย จากการลงทุนที่ต่างชาติเขาจะมาขยายการลงทุนที่ประเทศไทย แต่ว่าทุกๆ อย่างใช้เวลา..อย่างเช่นเราจะ Move จากอุตสาหกรรมที่มีกำไรน้อยไปสู่อุตสาหกรรมกำไรสูง Low tech เป็น High tech Industry..ไม่ได้สร้างได้ภายในวันเดียว ต้องมีวิธีการหลายๆ อย่าง"
และอีกหนึ่งคำแก้ต้วของนายเศรษฐา ทวีสิน จากการออกอากาศครั้งนี้..“ไม่ได้แก้ตัว แต่ว่าเรื่องของการไปต่างประเทศจริงๆ แล้ว..กว่าครึ่งเป็นไฟต์บังคับ เป็นเรื่องของการไปอาเซียน-เจแปน การไปแนะนำตัว..หรือว่าไปจีน หรือว่าไปกัมพูชา ไปสิงคโปร์ ไปมาเลเซีย ไปออสเตรเลีย เป็นอาเซียน-เจแปนครบ 50 ปี ซึ่งจะไม่ไปนั้นไม่ได้..หรืออย่างไปศรีลังกา เซ็นสัญญา FTA ซึ่งรัฐบาลเดิมทำไว้แล้ว..ก็ไปเป็นเกียรติ ไปงานลงนาม ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”
ที่นายเศรษฐา ทวีสิน ให้เหตุผลว่า“เพื่อแนะนำตนเอง”นั้น..สิ่งที่ประเทศชาติได้ประโยชน์ ถือได้ว่าเป็นเรื่องรอง เพราะโลกในยุคสมัยนี้—ประเทศไหนเป็นอย่างไร..ผู้นำในแต่ประเทศดีชั่วอย่างไร ทุกประเทศต่างก็รู้เห็นรู้ไส้รู้พุงกันอย่างเท่าทันอยู่แล้ว..ด้วยข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วปัจจุบันทันด่วนในสังคมออนไลน์..แต่ที่จะได้ประโยชน์จริงๆ คือตัวนายเศรษฐาเอง..จากการใช้โอกาสของความเป็นนายกรัฐมนตรีไปเก็บเกี่ยว“คอนเนคชั่น”กับผู้นำและนักลงทุนต่างชาติ..สำหรับต่อยอดทางธุรกิจทั้งในวันนี้และวันหน้าหลังจากพ้นอำนาจไปแล้ว
และที่อ้างว่าเป็น“ไฟต์บังคับ”นั้น..ถ้าจะว่าไปแล้ว นายกรัฐมนตรีสามารถมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีในกระทรวงที่เกี่ยวข้องไปแทนก็ได้..ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นนายกรัฐมนตรีเสมอไป
อีกทั้ง ในการเดินทางไปต่างประเทศแต่ละครั้ง..นายเศรษฐา ทวีสิน มักจะคุยโม้โอ้อวดว่า จะมีนักลุนต่างชาติขนเงินมาลงทุน.. แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติแม้แต่บาทเดียว..และที่บอกว่า“ทุกอย่างต้องใช้เวลา” ก็เป็นคำแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ เนื่องจากหลายบริษัทที่นายเศรษฐาบอกว่าจะมาลงทุนในประเทศไทยนั้น ได้“Move”ไปลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย มาเลย์เซีย เวียดนาม และสิงคโปร์กันหมดแล้ว
มิหนำซ้ำในรอบ 5 เดือนของปีนี้ นับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม..ปรากฏว่านักลงทุนต่างชาติขายหุ้นทิ้งไปแล้วเกือบ 1 แสนล้านบาท..ตัวเลขกลมๆ คือ...84.40 หมื่นล้านบาท..และจาการแถลงของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย..ในช่วงห้าเดือนเช่นเดียวกัน มีโรงงานอุตสาหกรรมปิดกิจการไปแล้ว 567 แห่ง เฉลี่ย 113 โรงงานต่อเดือน และมีแรงงานตกงาน 1.53 หมื่นคน..โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการปิดตัวมากที่สุด ได้แก่..อุตสาหกรรมพลาสติก, อุตสาหกรรมโลหะ และอุตสาหกรรมไม้และการแปรรูปไม้
อีกประเด็นหนึ่ง..ที่สะท้อนให้เห็นว่านายเศรษฐา ทวีสิน ไร้น้ำยา แต่ออกตัวเพื่อให้ตนเองดูดี โดยพูดในรายการนี้ว่า “ประเทศไทยจริงๆ แล้วเหมือนกับเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงมาก..เหมือนรถที่ยังไม่วิ่งเต็มสูบ เหมือน Ferrari 12 สูบ แต่วิ่งอยู่แค่ 6-7 สูบเท่านั้น แล้ว 6-7 สูบเราก็เดินหน้ากันเต็มที่..แต่เราก็ต้องค่อยๆ ทำกันไป..เพราะอย่างที่บอกมีหลายเรื่อง ไม่ใช่ทำเองได้ ตัดสินใจภายในคนเดียวได้ มีทั้งพรรคร่วมรัฐบาล มีฝ่ายตรวจสอบ มีทั้งรัฐสภา มีทั้งข้าราชการ มีทั้งเอ็นจีโอ ซึ่งในหลาย ๆ Initiatives ก็เป็น Initiatives ที่อาจจะมีคนแย้งบ้าง”
นายเศรษฐา ทวีสิน คงลืมหรือพูดไปเรื่อยเปื่อยคิดว่าประชาชนคนไทยจะเคลิ้มหลงเชื่อตาม..จึงได้แก้ตัวว่า“มีหลายเรื่อง-ไม่ใช่ทำเองได้”..เพราะโดยข้อเท็จจริง รัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา และนายกรัฐมนตรีทุกคน ก็ต้องตัดสินใจผ่านคณะรัฐมนตรีที่เป็นรัฐบาลผสม..ผ่านการตรวจสอบของพรรคฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร..และไม่ว่าจะรัฐสภา ข้าราชการประจำ และเอนจีโอ..ก็หาใช่ว่าเพิ่งจะมีในสมัยที่นายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี..แต่มีอยู่ก่อนแล้ว
เวลานี้ชาวบ้านทั่วไป โดยเฉพาะในโลกเชียลเขาจึงพูดกันว่า “ถ้าขับไม่ได้..ก็ลงจากรถเฟอร์รารี่”คันนี้เสีย..เพราะนายเศรษฐา ทวีสิน ไม่มีความสามารถที่จะขับรถหรูซึ่งมีสมรรถนะสูง..และตอนหาเสียงบอกว่า“คิดใหญ่-ทำเป็น-ทำได้ทันที” แต่วันนี้กลับกลืนน้ำลายตนเองว่า“ต้องค่อยๆ ทำกันไป” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี