เกิดเหตุระทึกที่ห้องประชุมสัปปายะสภาสถาน ระหว่างการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 กับวาทกรรมวรรคทอง “ignore thailand เจ๊งไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้” ที่นำเสนอโดย “พรรคก้าวไกล” ที่ยังไม่รู้ว่าจะยังยืนหยัดทำหน้าที่ “ท่านผู้ทรงเกียรติ” ได้อีกกี่มากน้อย หลังกกต.ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคตามมาตรา 92 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2561
วาทกรรมวรรคทองถูกตอบโต้โดย ดนุพรปุณณกันต์ สส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยในยุคที่มี “อุ๊งอิ๊ง/แพทองธาร ชินวัตร ...ลูกสาวนักโทษคดีทุจริตคอร์รัปชั่นโกงบ้านกินเมืองฉ้อฉลเงินแผ่นดิน, ผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 และผิดพ.ร.บ.คอมฯ–ทักษิณ ชินวัตร”เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
ดนุพรตอบโต้วาทกรรมวรรคทองที่ว่า “โดยเริ่มต้นอธิบายนิยามคำว่า “เจ๊ง” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตว่าหมายถึงสิ้นสุด, ล้ม, หมดยกตัวอย่าง กรณี “พรรคก้าวไกลต้องคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรค นั่นแหละเจ๊งของจริง แต่ประเทศไทยและรัฐบาลเจ๊งไม่ได้ ก่อนจะอวยงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2568มุ่งเป้าหมายแก้ปัญหาระยะกลาง ระยะยาว
คำอภิปรายที่ขย้อนสำรอกสำรากออกมานั้นคล้ายอาการผายลมทางปากของ “อนุสรณ์เอี่ยมสะอาด สส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย”เมื่อครั้ง “สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ - นิด้า”เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นในประเด็นความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลหลังบริหารประเทศมาได้ 9 เดือน ซึ่งพบว่าประชาชนไม่พอใจการทำงานรัฐบาลในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา อนุสรณ์ อ้างว่า
“การเข้ามาเป็นรัฐบาลที่ต้องแก้ปัญหาที่สะสม เสมือนเป็น 9 ปีที่สูญหายจากการรัฐประหารเป็นโจทย์ยาก รัฐบาลต้องทำงานในมิติของการแก้ไขปัญหาระยะสั้น ระยะกลาง และวางรากฐานเพื่อแก้ไขปัญหาในอนาคตต่อไป” อย่างไม่ “สำเหนียก”ข้อเท็จจริง ไม่คิดจะสานงานต่อ เพราะอายที่ตำหนิที่ลอบกัดลอบด่ามาตลอดและไม่คิดที่จะก่องานใหม่ยึดติดกับนโยบาย “โครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท” จนทำให้เศรษฐกิจประเทศอยู่ในภาวะตกต่ำ จนมีรายงานจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่า ...
...“ครึ่งปีแรกผู้ประกอบการไทยต้องปิดโรงงานไปแล้วมากกว่า 360 แห่ง คิดเป็นมูลค่าการลงทุนกว่า 9,400 ล้านบาท เลิกจ้างแรงงานไปแล้วกว่า 10,000 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ย 2 ปีที่ผ่านมา พร้อมประเมิน ยอดการปิดโรงงาน อาจเพิ่มขึ้นมากกว่า700 แห่ง หากรัฐบาล ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท เท่ากันทั่วประเทศ” ...
หรือที่ว่านี่เกิดจาก “ปัญหาสะสม ... ที่มาจากรัฐบาลคสช. นี่คือ 9 ปีที่สูญหายอย่างนั้นหรือ!?!?! อย่าอายถ้าจะสำเหนียก
นักการเมืองไม่มีสิทธิ์อายที่จะพูดจะยอมรับความจริง
อย่าต้องผลักดัน 142 นโยบาย ต้องทลาย6 พันธนาการ เลยเอาแค่นโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจเร่งด่วน อาทิ โครงการ “คนละครึ่ง” ให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจ เกิดการจับจ่ายใช้สอยสักนิด ชีวิตความเป็นอยู่พ่อค้าแม่ค้าก็จะดีขึ้น ไม่อย่างนั้นเสียงครวญครางเรียกหา “ลุงตู่ - พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา”คงไม่อื้ออึงสนั่นเมืองเยี่ยงนี้แน่นอน
เพราะถึงวินาทีนี้ มีผลงานเดียวที่โดดเด่น แต่เป็นสง่ามีราศีหรือไม่ยังต้องรอซาวอีก 15-20 น้ำกระมัง
ขายข้าว 10 ปีใน “ระบอบคอร์รัปชั่นนิยม” ให้บริษัทที่มีทุนจดทะเบียนบริษัท 2 ล้านบาทมีงบดุลปีละ 1-2 ล้านบาท แต่ประมูลข้าวมูลค่า 300 ล้านบาท มันจะเป็นไปได้เชียวหรือไม่แปลกใจสักนิดเลยงั้นสิ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี