สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ลงพื้นที่ไปติดตามงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) หรืออีอีซี
เรื่องที่นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และประชาชนคนไทยควรจะช่วยกันติดตาม ดังนี้
1. ถึงปีนี้ 2567 นายกฯ เศรษฐา น่าจะได้นั่งรถไฟความเร็วสูงไปตรวจงานโครงการอีอีซีด้วยซ้ำ
ถ้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน สามารถดำเนินการตามสัญญาที่มีการเปิดประมูลเมื่อปี 2561
แต่เนื่องจากโครงการล่าช้า ถึงขนาดวันนี้ ยังไม่ได้เริ่มต้นก่อสร้าง ลงเสาตอม่ออะไรเลยแม้แต่อันเดียว
ตอกย้ำปัญหาของโครงการ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอีอีซี
2. ความคืบหน้า 4 โครงสร้างพื้นฐานหลักอีอีซี
เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.2567 การประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 3/2567
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน
ที่ประชุม กพอ.รับทราบ ความก้าวหน้าโครงสร้างพื้นฐานหลักในพื้นที่อีอีซี
เป็นโครงการร่วมลงทุุน รัฐ-เอกชน (PPP) ที่สำคัญ ได้แก่
(1) โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
ปัจจุบัน ร.ฟ.ท. และเอกชนคู่สัญญา ตกลงรับมอบพื้นที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเจรจาหลักการแก้ไขปัญหาโครงการจากผลกระทบโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครนได้ข้อยุติแล้ว
อยู่ระหว่างเตรียมนำเสนอ กพอ.พิจารณา เพื่อเสนอให้ ครม. ทบทวนหลักการ PPP ตามมติ ครม. ที่อนุมัติโครงการไว้ เมื่อวันที่ 27 มี.ค.2561
คาดว่า จะเสนอ ครม. ได้ภายในเดือน ก.ค.2567
จากนั้น ร.ฟ.ท.และเอกชนคู่สัญญาจะเจรจาร่างสัญญาแก้ไข เพื่อส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจ และส่ง กพอ. และ ครม. เห็นชอบ และเริ่มงานก่อสร้าง ภายในธันวาคม 2567
ที่ประชุมระบุว่า หลักการแก้ไขปัญหา จะอยู่บนพื้นฐานความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐและเอกชน เป็นธรรมต่อคู่สัญญา รัฐไม่เสียประโยชน์ และเอกชนไม่ได้ประโยชน์เกินควร
มีหลักการที่สำคัญ ได้แก่
การแก้ไขวิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ (PIC) โดยรัฐจะเริ่มลงทุนเร็วขึ้นตามระยะเวลาความแล้วเสร็จของงาน และเอกชนตกลงวางหลักประกัน (Bank Guarantee) เต็มจำนวนค่าก่อสร้าง
และการแก้ไขวิธีการชำระค่าสิทธิโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) เอกชนแบ่งชำระ 7 งวด โดยร.ฟ.ท. ยังคงได้รับค่าสิทธิครบจำนวน 10,671.09 ล้านบาท เอกชนรับภาระดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายทางการเงินส่วนที่เกินทั้งสิ้น
(2) โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก
ความก้าวหน้าในส่วนภาครัฐ กองทัพเรือได้ออกประกาศเชิญชวนยื่นข้อเสนองานจ้างก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 และทางขับสนามบินอู่ตะเภา เป็นที่เรียบร้อย และคาดว่าจะพิจารณาข้อเสนอทางเทคนิค ได้ภายในเดือน มิ.ย.2567 และก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2571
ด้านงานระบบไฟฟ้าและน้ำเย็น มีความก้าวหน้าภาพรวม 26.32%
โดยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ มีความก้าวหน้ากว่า 94.85%
งานด้านระบบบริการเติมเชื้อเพลิงอากาศยาน มีความก้าวหน้ารวม 47.38%
งานด้านประปาและบำบัดน้ำเสีย มีความก้าวหน้ารวม 97.62% เป็นต้น
ในส่วนการประสานแจ้งให้เอกชนเริ่มก่อสร้างโครงการฯ (NTP) คาดว่า จะสามารถแจ้ง NTP ได้ภายในปี 2567 นี้ ทั้งนี้คาดว่าสนามบินอู่ตะเภาฯ จะเปิดให้บริการภายในปี 2572
(3) โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3
ในส่วนท่าเทียบเรือ F งานก่อสร้างทางทะเล มีความก้าวหน้าในภาพรวม 29.02%
โดยพื้นที่ถมทะเล 1 และ 2 ได้ดำเนินการถมแล้วเสร็จ
ส่วนพื้นที่ถมทะเล 3 อยู่ระหว่างดำเนินการถม
คาดว่าจะเปิดดำเนินการท่าเทียบเรือ F1 ได้ภายในปี 2570
(4) โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3
การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในภาพรวม มีความก้าวหน้า 80.93%
งานด้านถมทะเล พื้นที่แปลง LNG Plot (แปลง B)และพื้นที่ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง (แปลง C) ดำเนินการถมแล้วเสร็จ ส่วนพื้นที่ท่าเรือสินค้าเหลว (แปลง A) มีความก้าวหน้า 30.95%
โดยท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 ช่วงที่ 1 คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2570
3. จ่อแก้สัญญาสัมปทานโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน มูลค่าแสนล้าน
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เปิดเผยว่า ในการพิจารณาผลการหารือการแก้ไขสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินนั้น การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) และเอกชนคู่สัญญา จะสรุปผลการหารือมาเสนอให้กับที่ประชุม กพอ. อีกครั้ง
คาดว่าจะประมาณต้นเดือนกรกฎาคม 2567 นี้
เมื่อกพอ. เห็นชอบในหลักการให้มีการแก้ไขสัญญาแล้ว จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณารับทราบผลการประชุม กพอ.ต่อไป
ทั้งนี้ หลังจากผ่านการรับทราบในหลักการจาก ครม. แล้ว จากนั้นจะเริ่มเจรจาร่างสัญญาแก้ไข
เมื่อได้ข้อสรุป จะส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจ ก่อนส่งให้ กพอ. และ ครม. เห็นชอบตามขั้นตอน
และเมื่อครม.เห็นชอบแล้ว สำนักงานฯ จะออกหนังสือแจ้งให้เอกชนเริ่มก่อสร้างโครงการ (NTP) ภายในเดือนธันวาคม 2567 และคาดว่า เอกชนจะเริ่มงานก่อสร้างได้ในช่วงต้นปี 2568
“การประชุม กพอ.(10 มิ.ย.2567) ยังไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้ แต่ได้รับทราบรายงานความคืบหน้าก่อน เพื่อให้รู้ว่าความก้าวหน้าเรื่องนี้เป็นอย่างไร เพราะต้องดูรายละเอียดอีกครั้ง โดยกระบวนการเจรจาระหว่างร.ฟ.ท.กับเอกชนคู่สัญญา จะต้องทำให้เสร็จและมีการลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนธันวาคม 2567” - นายจุฬากล่าว
4.จับตาการแก้สัญญารถไฟความเร็วสูงสามสนามบิน เอื้อประโยชน์เอกชนยักษ์ใหญ่เกินควร หรือไม่?
สัญญาสัมปทานโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ประกอบด้วยการก่อสร้างและเดินรถไฟฟ้าความเร็วสูงสามสนามบิน และการเข้าไปบริหารการเดินรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์
แนวทางที่จะแก้สัญญา มีหลักการที่สำคัญที่ปรากฏในขณะนี้แล้ว คือ
ประการแรก การแก้ไขวิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ (PIC) โดยรัฐจะเริ่มลงทุนเร็วขึ้นตามระยะเวลาความแล้วเสร็จของงาน
ประการที่สอง เอกชนตกลงวางหลักประกัน (Bank Guarantee) เต็มจำนวนค่าก่อสร้าง
ประการที่สาม การแก้ไขวิธีการชำระค่าสิทธิโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) เอกชนแบ่งชำระ 7 งวด โดยร.ฟ.ท. ยังคงได้รับค่าสิทธิครบจำนวน 10,671.09 ล้านบาท เอกชนรับภาระดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายทางการเงินส่วนที่เกินทั้งสิ้น
ภาพรวม คือ เอื้ออำนวยช่วยเหลือเอกชนคู่สัญญาสัมปทาน ให้ได้รับเงินที่รัฐร่วมลงทุนเร็วขึ้น ไม่ต้องรอให้ก่อสร้างงานโยธาเสร็จก่อนตามสัญญาเดิม แต่เอกชนต้องวางหลักประกัน (Bank Guarantee) เต็มจำนวนค่าก่อสร้าง
ขณะเดียวกัน เงินที่เอกชนต้องจ่ายแก่รัฐในการเข้าไปบริหารแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ก็จ่ายช้าลง เดิมต้องจ่ายก้อนเดียว แต่ก็จะได้ผ่อนจ่ายแทน
นี่เป็นผลประโยชน์มูลค่ามหาศาลแก่เอกชน และเป็นการแก้สัญญาที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขสาระสำคัญทางการเงินของโครงการ ผิดไปจากตอนประมูล
5. การให้รัฐจ่ายเงินอุดหนุน 117,727 ล้านบาทเร็วขึ้น
สัญญาเดิม เอกชนต้องสร้างเสร็จก่อน รัฐค่อยจ่ายเงินร่วมลงทุน
โดยเอกชนจะต้องก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จในระยะเวลา 5 ปีนับจากวันส่งมอบ NTP และรัฐจะเริ่มจ่ายหลังจากนั้นในปีที่ 6 ของโครงการโดยแบ่งจ่ายเป็น 10 งวดๆ ละ 1 ปี
จะแก้ไขเป็น “สร้างไป-จ่ายไป”
โดยคาดว่า รัฐจะเริ่มจ่ายในเดือนที่ 18 นับจากวันที่ออก NTP (หนังสือให้เริ่มงาน)
เท่ากับว่า เอกชนคู่สัญญาจะได้เงินร่วมลงทุนจากรัฐเร็วขึ้น ย่อมช่วยเอกชนลดภาระค่าใช้จ่ายในการกู้เงินจำนวนมาก“ประหยัดค่าดอกเบี้ย” มหาศาล เนื่องจากสามารถใช้เงินอุดหนุนจากรัฐมาดำเนินการก่อสร้างได้
เป็นการเปลี่ยนเงื่อนไขสำคัญ เพราะเดิม รัฐจะจ่ายเงินอุดหนุน 117,727 ล้านบาทให้เอกชนก็เมื่อเอกชนดำเนินการก่อสร้างเสร็จก่อน โครงการเปิดให้บริการเดินรถแล้ว เพื่อเป็นหลักประกันว่า เอกชนคู่สัญญาจะเร่งก่อสร้างให้เสร็จตามกำหนดเวลาในสัญญา
6. การให้เอกชนผ่อนค่าใช้สิทธิบริหารแอร์พอร์ตเรลลิงก์
ตามสัญญาเดิม เอกชนคู่สัญญาจะต้องจ่ายให้ ร.ฟ.ท.ทันทีที่รับโอนสิทธิ จำนวน 10,671 ล้านบาท
จะแก้เป็นให้เอกชนแบ่งจ่ายเป็น 7 งวด 7 ปี
โดยอ้างปัญหาโควิด-19 ทำให้ผู้โดยสารแอร์พอร์ตลิงก์น้อยลงไปมาก
ในทางปฏิบัติจริง ขณะนี้ เอกชนคู่สัญญารับโอนแอร์พอร์ตเรลลิงก์ไปบริหารแล้ว ตั้งแต่ตุลาคม 2564 โดยวางเงินมัดจำ 1,067 ล้านบาท ส่วนที่เหลือราวๆ 9 พันกว่าล้านบาท ยังไม่ได้จ่าย ตามเอ็มโอยู เพราะรอการแก้ไขสัญญานี่เอง
7. เอกชนต้องวาง Bank Guarantee
ทั้งในส่วนของค่าใช้สิทธิ์แอร์พอร์ตเรลลิงก์ วงเงิน 10,671 ล้านบาท และค่าเงินภาครัฐร่วมจ่ายอุดหนุนโครงการไว้ในราคา 117,227 ล้านบาท (ตัวเลข ณ ปี 2561)
8.ทั้งหมดนี้ จะอธิบายชี้แจงอย่างไรว่าไม่เข้าข่ายเอื้อประโยชน์แก่เอกชนยักษ์ใหญ่เกินสมควร
อย่าลืมว่า ในการประมูลโครงการเมื่อปี 2561 นั้น ปรากฏว่า ซอง 3 (ข้อเสนอด้านการเงิน) ของกลุ่มกิจการร่วมค้า บริษัทเจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้งฯ เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด (ขอรับเงินอุดหนุนจากภาครัฐน้อยสุด)
เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ชนะคู่แข่ง เพราะขอเงินร่วมลงทุนจากรัฐน้อยกว่า เป็นสาระสำคัญ
แต่ปรากฏว่า พอชนะแล้ว ผ่านไป 6 ปี ยังไม่ได้เริ่มการก่อสร้าง
หากรัฐยอมให้มีการแก้สัญญาเงื่อนไขการได้รับเงินจากรัฐ โดยช่วยให้ได้รับเงินเร็วกว่าเงื่อนไขเดิมเช่นนี้ย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสาระสำคัญของการประมูล เป็นสาระสำคัญของสัญญาสัมปทาน และหากการประมูลในปี 2561 มีเงื่อนไขให้เอกชนได้รับเงินร่วมลงทุนโดย “ไม่ต้องสร้างให้เสร็จก่อน” เช่นนี้ อาจจะมีเอกชนยื่นข้อเสนอให้รัฐดีกว่าที่เป็นอยู่ ก็เป็นไปได้
สุดท้าย... จับตา การแก้เงื่อนไขสาระสำคัญเกี่ยวกับผลประโยชน์ในสัญญา เอื้อประโยชน์แก่เอกชน ครม.จะว่าอย่างไร อัยการสูงสุดจะว่าอย่างไร ฯลฯ
อย่าลืมว่า ที่ผ่านมา เคยมีกรณีคดีทุจริตประพฤติมิชอบ เกี่ยวกับพฤติกรรมเอื้อประโยชน์แก่เอกชนคู่สัญญาโดยมิชอบ หลายคดี ติดคุกติดตะรางกันมากมาย
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี