บริษัทในตลาดหุ้น ไม่ได้หมายความว่า ทุกบริษัทจะดีเลิศประเสริฐศรี
ตรงกันข้าม เราได้เห็นข่าวการทุจริตโกงกินโดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอยู่เป็นประจำ
การทำหน้าที่ของ ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์ฯ ผู้ตรวจสอบบัญชีรวมถึงหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมอย่าง ดีเอสไอ ปปง. ฯลฯ จึงล้วนแต่มีความสำคัญ
คดีโกงหุ้น STARK มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท ที่อันฉาวโฉ่ คือ อีกหนึ่งกรณีศึกษา
ล่าสุด สามารถจับตัวผู้ต้องหาคนสำคัญที่หลบหนีหมายจับไปยังต่างประเทศ ตั้งแต่กลางปี 2566
1. นายชนินทร์ อดีตกรรมการบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 2145/2566 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2566
เป็นผู้ต้องหาคนสำคัญคดีโกงหุ้นสตาร์ค
เมื่อวานนี้ ดีเอสไอคุมตัวนายชนินทร์ จากห้องควบคุมผู้ต้องขัง ออกจากอาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ เดินทางไปส่งฟ้องต่ออัยการ
ก่อนหน้านี้ ดีเอสไอไปคุมตัวนายชนินทร์จากสนามบินสุวรรณภูมิ หลังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (AUE) ให้ส่งตัวมาให้ไทย
พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยืนยันว่าการดำเนินการได้ตัวนายชนินทร์ เป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายทุกประการ กระทรวงยุติธรรมได้กำกับดูแลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการสอบสวนอย่างรอบคอบและรัดกุมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และเรื่องนี้เป็นคดีเกี่ยวกับตลาดทุนที่ประชาชนและทุกภาคส่วนให้ความสนใจ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนของประเทศให้กลับคืนมา
พนักงานสอบสวน มีความเห็นสั่งฟ้องใน 6 ข้อหาสำคัญ ประกอบด้วย 1.ฉ้อโกงทรัพย์สินประชาชน 2.กระทำความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 3.การปลอมแปลงบันทึกบัญชีเป็นเท็จ4.ผู้บริหารปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาท ไม่ระมัดระวัง 5.กระทำการทุจริต และ 6.ฟอกเงิน
นายชนินทร์ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และขอแก้คำให้การที่เคยให้ปากคำไปก่อนหน้านี้ ในข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่าทรัพย์สินที่ได้มา
พ.ต.อ.ทวี เปิดเผยว่า การพูดคุยกับนายชนินทร์ พบว่า เจ้าตัวมีความเครียดกังวลเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากถูกผู้เสียหายข่มขู่ และเจ้าตัวได้แจ้งกับพนักงานสอบสวนว่ามีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับช่องท้อง
ส่วนเส้นทางการเงิน จากสืบสวนสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พบว่า มีเส้นทางการเงินมาถึงนายชนินทร์ไม่มาก แต่ไปถึงบุคคลซึ่งเป็นเลขาฯ และบุคคลอื่นเป็นจำนวนมาก
2. พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการในตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาในคดีนี้ มีทั้งหมด 6 คน ขณะนี้ถูกจับกุมครบแล้วทุกคน และยังไม่มีผู้ได้รับการประกันตัว จากนี้ จะเป็นกระบวนการในชั้นศาล เริ่มพิจารณาในวันที่ 14 ม.ค.2568
ในเรื่องการเฉลี่ยทรัพย์สินคืนผู้เสียหาย ขณะนี้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สามารถติดตามทรัพย์สินกลับมาได้เพียง 3,000 ล้านบาท แต่คดีนี้มีมูลค่าความเสียหายถึง 14,000 ล้านบาท
จึงต้องติดตามทรัพย์กลับขึ้นมาให้ได้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ยังถือว่าผู้ต้องหายังเป็นผู้บริสุทธิ์ มีสิทธิต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป
3. ตำนานคดีหุ้น STARK เกิดขึ้นได้ ด้วยการที่มีผู้บริหารบริษัท ร่วมกันตกแต่งบัญชีงบการเงิน และยักยอกทรัพย์สินของบริษัทไปมูลค่ามากกว่าหมื่นล้าน
ย้อนกลับไปดูกรณีศึกษา บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK
งบการเงินของบริษัทสตาร์คฯ ประจำปี 2565 เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2566 ผู้สอบบัญชี (PwC) ตรวจพบปัญหาการตกแต่งบัญชีหลายรายการ
พบว่า มีการสร้างยอดรอเรียกเก็บหนี้จากลูกค้าปลอม ยอดขายปลอม และสร้างรายการจ่ายเงินซื้อสินค้าล่วงหน้า ให้กับบริษัทที่สมอ้างเป็นบริษัทคู่ค้า
โดยไม่มีการซื้อขายหรือจ่ายเงินจริง
คิดเป็นเงินไม่น้อยกว่า 26,000 ล้านบาท!!!
ธุรกรรมอำพรางทั้งหมดเกี่ยวพันกับบริษัทย่อย 3 แห่ง ได้แก่
1.บริษัท ฟ. มีการตกแต่งบัญชีสูงเกินจริงสูงถึง 24,452 ล้านบาท
2.บริษัท ท. มีการตกแต่งบัญชีสูงเกินจริงมูลค่า 689 ล้านบาท
และ 3.บริษัท อ. มีการตกแต่งบัญชีสูงเกินจริง 1,045 ล้านบาท
ตลอดช่วง 2 ปีที่มีการตกแต่งบัญชีและโอนเงินให้บริษัทร่วมขบวนการสตาร์คฯ มีผลขาดทุนรวมมากกว่า 12,640 ล้านบาท
โดยในปี 2564 ขาดทุนสุทธิ 5,989 ล้านบาท และในปี 2565 ขาดทุนสุทธิ 6,651 ล้านบาท
4. ความเสียหายหลายหมื่นล้าน กระทบผู้ถือหุ้นวงกว้าง
กรณีบริษัทสตาร์คฯ สร้างความเสียหายขยายวงไปสู่วงกว้าง ทั้งผู้ถือหุ้นรายย่อย ผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ถือหน่วยลงทุนผ่านกองทุนรวม
มูลค่าหุ้นลดลงจากที่เคยมีมูลค่าสูงสุด 60,000 ล้านบาท เหลือไม่ถึง 2,000 ล้านบาท (19 มิ.ย. 2566)
ทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อย ไปถึงผู้ถือหน่วยกองทุนรวมที่เข้าไปลงทุนในหุ้นสตาร์ค
รวมทั้งผู้ถือหุ้นกู้ 5 ชุด อีกหลายพันราย วงเงินรวม 9,198 ล้านบาท
ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ที่ปล่อยสินเชื่ออีกราว 8,000 ล้านบาท
ล้วนแต่ได้รับผลกระทบความเสียหาย
5. คดีทุจริตในบริษัทใหญ่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ คือ อาชญากรรมเสื้อสูท
ผู้ต้องหามักมีอิทธิพล มีอำนาจการเงิน และมีเส้นสาย
นึกถึงกรณีศึกษาของบริษัท ปตท.ฯ ที่พบว่า มีกรณีบริษัทย่อยไปทำโครงการปลูกปาล์มน้ำมันในประเทศอินโดนีเซีย
ปตท.ตรวจสอบ พบว่า มีการทุจริตประพฤติมิชอบ มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท
นั่นคือ กรณีโครงการปลูกปาล์มน้ำมันที่ประเทศอินโดนีเซียของ บริษัท พีทีที.กรีน เอ็นเนอร์ยี่ฯ ในเครือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
โครงการนี้ เริ่มทำการศึกษาช่วงปี 2549 ดำเนินการตั้งบริษัทมาดำเนินการตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา 5 โครงการ ได้แก่ PT.MAR Pontianak PT.Az Zhara PT.MAR Banyuasin PT.FBP และ PT.KPI มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท
หลังจากนั้น ปตท.ใหญ่เข้าไปตรวจสอบ พบการกระทำความผิดก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง
ทั้งเรื่องการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า รวมถึงการซื้อที่ดินที่อาจสูงเกินจริง
หลังจากนั้น อดีตผู้บริหาร ปตท.เอง ได้ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.สอบสวน จนถึงปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน ปตท.ใหญ่ ได้ดำเนินการลงโทษผู้เกี่ยวข้อง ไล่ออกเจ้าหน้าที่ผู้บริหารบางคนไปแล้ว รวมทั้งฟ้องเรียกค่าเสียหายจากอดีตผู้บริหารบางคน
โดยกรณีนี้ PTT.GE ทำโครงการลงทุนปลูกปาล์มน้ำมัน โดยเงินลงทุนทั้งหมดได้นำมาจาก ปตท.ใหญ่
นำเงินไปซื้อที่ดิน ซื้อหุ้นในโครงการที่ลงทุนปลูกปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย 5 โครงการ
การตรวจสอบในเรื่องนี้ แม้แต่บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ จำกัด(บริษัทลูกของ Deloitte Touche Tohmatsu ผู้สอบบัญชีระดับโลก) ก็ได้รายงานผลการตรวจสอบโครงการปลูกปาล์มน้ำมันที่ประเทศอินโดนีเซียฯ พบว่ามีการกระทำผิดระเบียบ กฎเกณฑ์ ก่อให้เกิดความเสียหายชัดเจน ระบุว่า
บางโครงการ อนุมัติให้จัดทำโครงการไปก่อน แล้วมาอ้างรายงานสนับสนุนภายหลัง
บางโครงการ ลงนามข้อตกลงในการซื้อขายทรัพย์สิน โดยไม่มีการขออนุมัติจากบอร์ด
บางโครงการ ปรับมูลค่าซื้อที่ดินสูงขึ้น เกินหลักเกณฑ์ อ้างเฉยว่ามีโอกาสทำถ่านหิน
บางโครงการ มีบริษัทนายหน้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ในกระบวนการซื้อขายที่ดินระหว่างผู้ขายกับ PTT.GE โดยบริษัทนายหน้าจะได้ค่าคอมมิชชั่นถึง 35% และค่าให้บริการอีก 325 เหรียญสหรัฐ/เฮกตาร์
ฯลฯ
กรณีนี้ ป.ป.ช.บางคน ถูกฟ้องร้องถูกดำเนินการสารพัดรูปแบบ เพื่อสกัดกั้นการตรวจสอบการทุจริต
น่าสนใจว่า ป.ป.ช.เคยอัปเดตคดีมานานแล้ว บอกว่าจ่อจะสรุปสำนวนโครงการปาล์มอินโดฯ เพื่อพิจารณาชี้มูลความผิด
แต่จนถึงวันนี้ ป.ป.ช.ก็ยังไม่มีการชี้มูลความผิดเสียที
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี