ได้โฉมหน้าว่าที่ สว. 200 คน (สำรองอีก 100 คน) แล้ว สำหรับการเลือก สว. ระดับประเทศที่เพิ่งผ่านไป
เรียกว่า เลือกกันข้ามวัน-ข้ามคืน
เริ่มแต่เช้า กว่าจะเสร็จก็เกือบตีห้าของอีกวัน
1. จากผู้สมัครกว่า 46,000 คน เหลือเพียงว่าที่ สว. 200 คน จากกลุ่มอาชีพต่างๆ
ว่ากันว่า มีทั้งปลาสีน้ำเงิน ปลาสีแดง ปลาสีส้ม ฯลฯ
แต่ตัวเต็งอย่างอดีตนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตกรอบในการเลือกไขว้ !!!
สร้างความงุนงงให้กับคอการเมืองอย่างมาก
ทักษิณเสื่อมมนต์ขลังหรือไม่?
หรือตั้งใจถอยฉากออกไป เพื่อมิให้เกิดภาพ “ลูกสาวคุมสภาล่าง” – “พี่เขยคุมสภาสูง” ?
2. กลุ่มการเมืองสีส้มออกมาโวยวาย เพราะพรรคพวกตัวเองร่วงกันไปหลายรายจึงหาว่าการเลือก สว.มีการฮั้ว
แต่ที่พวกตัวเองจัดประชุมผู้สมัคร 300 กว่าคน วางแผนเตรียมการกันก่อนวันเลือก 1 วัน ไม่ถือเป็นการฮั้ว!!!!
ในความจริง หากมีหลักฐานก็ควรรีบยื่น กกต. สอบสวนเอาผิด
เพราะภาพรวมการเลือก สว.ที่ผ่านมา กลิ่นไม่ดีมาตั้งแต่ต้น
ดังปรากฏว่า มีคนสมัคร สว. ยอมเสียเงิน 2,500 บาท แต่ดันไม่เลือกตัวเองเลยสักคะแนน
มันส่อพิรุธว่ามีการจัดตั้งกันมาตั้งแต่แรก
เพียงแต่สีส้มคิดว่าพวกตนก็จัดขบวนกันมาพร้อมพรรค โดยเรียกพวกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย มั่นใจน่าจะผ่านไปได้ เพราะคืนหมาหอน ก็มีศาสดาอย่างนายธนาธร โพสต์กำชับการเลือกให้อยู่ในแถวอีกต่างหาก
เมื่อผลการเลือกออกมาไม่เป็นดังความต้องการ ก็ค่อยโวยวายว่าร้ายฝ่ายอื่น
3. นายสมชาย แสวงการ สว. ได้โพสต์ข้อมูลภาพผลการลงคะแนนว่า “นี่ไงครับ หลักฐาน 0 คะแนนของขบวนการจัดฮั้วเลือกสว.”
ระบุว่า
“ผู้สมัครรับเลือกสว. ที่ฝ่าด่านมาตั้งแต่อำเภอ ผ่านด่านจังหวัด มาถึงระดับประเทศ
ล้วนมีค่าใช้จ่ายส่วนตัวเบื้องต้น คนละ 1 หมื่นบาท
แต่เสียเงินเสียเวลา มาเลือกที่อิมแพ็ค เมืองทองธานีแล้ว แม้การลงคะแนนรอบแรกตรงตามกลุ่มอาชีพ ยังไม่ลงคะแนนเลือกตัวเองเลยแม้เพียงคะแนนเดียว
จึงปรากฏหลักฐานให้เห็นชัดเจนว่า มีผู้ไม่ลงคะแนนให้ตัวเองหรือ 0 คะแนนทุกกลุ่ม
นั่นหมายถึงว่า เทคะแนนไปให้บุคคลในกลุ่มทั้งหมด
ไม่สงสัยเลยครับว่า ฮั้วชัดเจน
เพราะแปลกใจและทักท้วงกกต.มาตลอดให้เปิดเผยผลการเลือกตรงกลุ่มรอบแรกระดับอำเภอและระดับจังหวัด ทั่วประเทศ ซึ่งน่าจะมีผลการเลือกฮั้ว 0 คะแนนแบบนี้ นับหมื่นคน
แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้เรียกว่า #ฮั้วเลือกสว #สภาฮั้ว ได้อย่างไร
#กกต.มีหน้าที่ ตรวจสอบจริงจังตรวจเชิงลึกให้หน่อยครับว่า แต่ละท่านมีความตั้งใจอย่างไรถึงลงทุนอยากเป็นสว. จ่ายเงินทองมากมาย แต่ไม่เลือกตัวเอง ทั้งๆ ที่คนจำนวนมากอยู่ในฐานะยากจน เกินกว่าจะเชื่อได้ว่า เสียสละเงินมาเพื่อชาติ ขนาดนั้น #ทุจริตเลือกสว. #ติดคุก10ปี ...”
4. มีเสียงท้วงติงบางส่วนว่า ผู้สมัคร สว.จากบางจังหวัด ไม่ได้รับเลือก ไม่มี สว.จากจังหวัดตนเอง
แบบนี้ จะถือว่าไม่เป็นธรรมหรือไม่?
ต้องเข้าใจพื้นฐานว่า สว.ตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน มิได้ออกแบบมาให้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนรายจังหวัด
เพราะ มี สส.เป็นตัวแทนรายจังหวัดอยู่แล้ว
แต่ สว.ออกแบบมาให้มีความหลากหลายตามกลุ่มสาขาอาชีพ
จึงเป็นที่มาว่า ไม่ใช้การเลือกตั้งแบบ สส.นั่นเอง
ประเด็นสำคัญ คือ การเลือกกันเองของผู้สมัคร สว. เพื่อให้ได้ตัวแทนของกลุ่มสาขาอาชีพต่างๆ นั้น มันตรงเจตนารมณ์ตามที่ออกแบบมาตั้งแต่ต้นหรือไม่?
ถ้ามีการฮั้ว หรือจัดตั้งกัน วางแผนการลงคะแนนกัน ซึ่งบิดเบือนไปจากการลงคะแนนอย่างอิสระ ตามดุลยพินิจของแต่ละคน นั่นย่อมเข้าข่ายฮั้ว อันเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์การคัดเลือกทั้งสิ้น
ถ้าย้อนไปดูเจตนารมณ์ตั้งแต่ต้นของผู้มีบทบาทสำคัญในการออกแบบที่มาของ สว.แบบนี้
โดย อาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เคยเขียนบทความชื่อว่า “บันทึกไว้กันลืม” ในหนังสือ “ความในใจของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 2560”
กล่าวถึงที่มาที่ไปของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยมีการกล่าวถึงเรื่อง “ที่มาของสมาชิกวุฒิสภา” ใจความสำคัญบางตอน ระบุว่า
“...เรื่องที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องหนึ่งนั้น
เราไม่ได้คิดอย่างหลักลอย หากแต่มีที่มาจากกรอบของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวมาตรา 35 ที่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแท้จริง
เราก็เคยคิดว่าทำไมเราไม่แปลงวุฒิสภาให้เป็นองค์กรที่สร้างความมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างนัยสำคัญ
แต่เดิมมานั้น การมีวุฒิสภา มักจะเกิดจากแนวคิดว่าสภาผู้แทนยังไม่พร้อม ควรมีสภาพี่เลี้ยงเพื่อประคับประคองกันไป ต่อมาก็ว่าเป็นสภากลั่นกรองเพื่อให้เกิดความสมดุล ที่มาของสมาชิกวุฒิสภาในตอนต้นจึงมาจากการแต่งตั้ง เพื่อให้ได้คนที่มีคุณวุฒิสูง มีประสบการณ์มากๆ ต่อมาก็ให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากแต่ละจังหวัด โดยให้ตัดจากพรรคการเมือง จะได้เป็นอิสระในการกลั่นกรองกฎหมายโดยไม่อยู่ภายใต้อาณัติของพรรคการเมือง แต่มาถึงปัจจุบันต้องยอมรับว่าคนมีความรู้ มีปริญญาสูงๆ ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากขึ้น คนที่มิได้มีปริญญาสูงๆ ก็มีประสบการณ์ที่สะสมมามากเพียงพอที่จะไม่ต้องการพี่เลี้ยงอีก
ในขณะเดียวกันในการจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา โดยให้ปลอดจากการเมือง ก็เห็นได้ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะลำพังผู้สมัครเพื่อรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาถ้าไม่ไปศิโรราบกับพรรคการเมือง หรือนักการเมืองในพื้นที่ ย่อมยากที่จะได้รับเลือกตั้ง ความมุ่งหมายที่จะให้สมาชิกวุฒิสภาไม่อยู่ภายใต้พรรคการเมืองจึงเป็นไปได้ยาก
เราจึงคิดว่า ทำไมเราไม่เปลี่ยนวุฒิสภาให้เป็นสภาที่จะรับรู้ความต้องการหรือความเดือดร้อน หรือส่วนได้เสียของคนกลุ่มต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพได้เข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองอย่างแท้จริงและความต้องการของเขาได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง
นั่นจึงเป็นที่มาของวุฒิสภาที่จะมาจากประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกอาชีพ ทุกลักษณะ
อันที่จริง วุฒิสภาที่เราคิดสร้างขึ้นนั้น ก็คล้ายกับสภาสูงของอังกฤษ เพียงแต่สภาสภาสูงของอังกฤษ เป็นการรักษาประโยชน์ของชนชั้นสูง ส่วนวุฒิสภาที่เราสร้างขึ้น เป็นการรักษาประโยชน์ของคนทุกระดับชั้น
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้า และแนวคิดอย่าง 360 องศา
ไม่น่าเชื่อว่าพอเสนอแนวคิดนี้ขึ้น กรธ.ทั้งคณะร้องฮ่อแร่ด ขึ้นพร้อมกัน
ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าการจะทำให้คนอื่นเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการมีวุฒิสภาที่เปลี่ยนแปลงไป กับขบวนการในการจัดการเลือกที่จะไม่ให้เกิดการฮั้วกันนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย
ในเรื่องแรก เราออกจะประมาทอยู่ไม่น้อย เพราะไม่ได้ชี้แจงซ้ำแล้วซ้ำอีกให้เห็นถึงแนวคิดของการมีวุฒิสภาที่เปลี่ยนแปลงไปว่าเราไม่ได้มุ่งหมายให้มีผู้ทรงคุณวุฒิมาคอยกลั่นแกล้งงานของสภาผู้แทนราษฎร หรือเป็นพี่เลี้ยงของสภาผู้แทนราษฎรอีกแล้ว เพราะสภาผู้แทนราษฎรมีขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจของตนได้โดยสมบูรณ์แล้ว (เว้นแต่เป็นกรณีที่จงใจจะใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง)
สิ่งที่ยังขาดอยู่ก็คือ สภาผู้แทนราษฎรยังปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเป็นนโยบายที่มาจากพรรคการเมือง ที่อ้างๆ กันว่าเรามาจากประชาชน เราเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยนั้น เอาเข้าจริงบางทีก็มองข้ามความทุกข์ยากของประชาชน ทั้งในระยะสั้นหรือระยะยาว เพราะหลายกรณีมุ่งแต่จะให้พรรคเป็นที่นิยม โดยไม่ได้นึกถึงอันตรายในระยะยาว หรือ ความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้นแก่สังคมหรือประเทศชาติได้ ดังที่เห็นๆ กันอยู่แต่นั่นก็เป็นระบบที่เรียกว่าประชาธิปไตย เราจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
แนวคิดในเรื่องที่มาของสมาชิกวุฒิสภา จึงมุ่งที่จะทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมทางการเมือง
ในขณะเดียวกันให้ทุกภาคส่วนสามารถบอกเล่าความคับแค้น อุปสรรค และเสนอแนะแนวทางการแก้ไขในส่วนของเขาได้อย่างมีนัยสำคัญ
ผู้ที่จะมาเป็นสมาชิกวุฒิสภา จึงมิใช่ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้มีประสบการณ์ล้นฟ้าอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้ที่มาจากคนทุกหมู่เหล่าที่ประกอบอาชีพหรือมีคุณลักษณะเฉพาะ เพื่อจะได้สะท้อนถึงความต้องการของเขาอย่างแท้จริง
เราออกจะหย่อนในการทำความเข้าใจในเรื่องนี้ไปหน่อยเพราะเมื่อในเวลาที่เราทำกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา แม้แต่สภานิติบัญญัติแห่งชาติยังไม่เข้าใจ ยังกังวลว่าด้วยวิธีการเลือกอย่างที่กำหนดไว้ จะทำให้ได้ผู้ทรงคุณวุฒิได้อย่างไร
เราแบ่งกลุ่มออกเป็น 20 กลุ่ม เพื่อให้สามารถกระจายกันไปแต่ละกลุ่มจะมีหลักประกันว่าจะมีตัวแทนของคนอยู่ในวุฒิสภา มีคนตั้งข้อสงสัยว่าการกำหนดไว้ 20 กลุ่ม ไม่มีเหตุผลอะไร ทำไมจึงไม่เป็น 25 กลุ่ม 30 กลุ่ม หรือ 40 กลุ่ม แล้วเลยเสนอให้ลดลงเหลือ 10 กลุ่ม ซึ่งว่าที่จริง การลดลงเหลือ 10 กลุ่มก็ย่อมต้องเผชิญกับปัญหาอย่างเดียวกันว่าทำไมถึง 10 กลุ่ม
การที่ กรธ. กำหนดไว้ 20 กลุ่ม ไม่ได้เกิดจากการเสี่ยงทาย หรือหยิบขึ้นมาเฉยๆ หากแต่เกิดจากการพยายามคิดอาชีพและคุณลักษณะทั้งหมดของประชาชนทุกหมู่เหล่า (โดยใช้ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติเป็นหลัก) และจับอาชีพหรือคุณลักษณะที่ใกล้เคียงมากที่สุดเข้าไว้ในกลุ่มเดียวกัน เมื่อรวมแล้วได้ 19 กลุ่ม บวกกับกลุ่มเผื่อเหลือเผื่อขาด เพื่อให้ทุกคนมีที่ลงได้ จึงเพิ่มอีก 1 กลุ่ม คือ “กลุ่มอื่น ๆ” รวมเป็น 20 กลุ่ม
ถามว่าทำไมไม่เป็น 30 หรือ 40 กลุ่ม คำตอบก็คือเราต้องคำนึงถึงจำนวนที่แต่ละอาชีพหรือแต่ละคุณลักษณะจะพึงมี เพื่อให้ได้สัดส่วนของผู้แทนของแต่ละอาชีพ หรือ คุณลักษณะจะไม่ทัดเทียมกันที่สำคัญในระหว่างร่างรัฐธรรมนูญก็ดี เราได้ออกไปรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมาทุกภาค ผลการรับฟังความคิดเห็น ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าการกำหนดเป็น 20 กลุ่มเป็นจำนวนที่เหมาะสมที่สุด
เรากำหนดกลุ่มสตรีแยกไว้ต่างหาก ก็เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 และมาตรา 90 วรรคสาม จริงอยู่สตรีอาจสมัครเข้าในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งตามอาชีพ หรือคุณลักษณะอย่างอื่นของตนได้ แต่ในการเลือกย่อมยากที่จะกำหนดให้ผู้เลือกต้องเลือกสตรีเพราะจะเป็นการจำกัดสิทธิของคนอื่น การที่จะเกิดความแน่นอนว่ากลุ่มสตรีแยกไว้ต่างหาก แต่สนช.ไม่เข้าใจเจตนารมณ์ในเรื่องนี้ จึงจับสตรีไปอยู่ในกลุ่มเปราะบาง หรือกลุ่มด้อยโอกาส ซึ่งไม่มีหลักประกันว่าสตรีจะได้รับเลือกมา การกำหนดจำนวนกลุ่มน้อยเท่าไร โอกาสที่คนหลายอาชีพ หลายคุณลักษณะจะไม่มีตัวแทนในวุฒิสภาย่อมมีมากขึ้นเท่านั้น...”
จากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในการเลือก สว. และผลลัพธ์ที่ออกมาเช่นนี้
น่าจะมีใครกลับไปถาม อ.มีชัย ว่า ท่านประเมินว่าอย่างไร? ตรงตามเจตนารมณ์ที่ออกแบบไว้เดิมแค่ไหน?
สอบตกมั้ย? ควรสอบซ่อมหรือไม่? อย่างไร?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี