ในการสอนวิชากฎหมายการคลังมหาชนที่เป็นวิชาสำคัญในคณะนิติศาสตร์ของผู้เขียนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยอื่น มักจะมีนักศึกษาตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องเงินราชการลับอยู่เสมอ
ผู้เขียนจะยกตัวอย่างที่เป็น “ธรรมานุธรรมปฏิบัติ” อันเป็น “มุขปาฐะ” (oral history) ของ ท่านปลั่ง มีจุล อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรีหลายสมัยของนายกรัฐมนตรีหลายท่าน นายปลั่ง มีจุล จึงต้องรู้ถึงเบื้องลึกที่มีทั้งบวกและลบของนายกรัฐมนตรีแต่ละคนเป็นอย่างดี แต่นายปลั่ง มีจุล ไม่เคยนำข้อเท็จจริงนั้นมาเปิดเผยเลย ใช้ชีวิตที่สมถะตั้งแต่รับราชการและภายหลังที่เกษียณแล้ว ตายก็ให้เผาศพอย่างเงียบง่ายที่วัดเครือวัลย์วรวิหาร
ที่ผู้เขียนได้รู้จักชื่อท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เป็นครั้งแรก เพราะได้เรียนในคณะนิติศาสตร์ รุ่น ๒๕๐๑ในสมัยที่เป็นตลาดวิชากับน้องชายนายปลั่ง คือโกศล มีจุล (พลโท โกศล มีจุล) และได้เล่าให้เพื่อนๆ ที่สนิทฟังว่า
“....พี่ชายคือนายปลั่ง มีจุล เป็นผู้เรียกเรือจ้างที่ลอยลำอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา หน้าทำเนียบท่าช้างให้อาจารย์ปรีดี รอดพ้นการถูกจับตามฆ่า....”
นายปรีดี พนมยงค์ ปรึกษาราชการที่ทำเนียบท่าช้าง
เพราะในยุคนั้นมหาวิทยาลัยถูกปกครองโดยอำนาจเผด็จการมีสองจอมพลมาเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยและอธิการบดี ผู้ที่เรียนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไม่อาจจะเอ่ยชื่อหรือเขียนบทความในหนังสือใดๆ ที่มีชื่อ “ปรีดี พนมยงค์” ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ที่ได้สถาปนามาเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๗ ตรงกับวันที่ประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองสยาม (ชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๔๗๕ รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศสยาม ที่มีมาตรา ๑ บัญญัติว่า “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้น เป็นของราษฎรทั้งหลาย”
ย้อนกลับมาที่ นายปลั่ง มีจุล เรียกเรือจ้างให้ท่านอาจารย์ปรีดีหนีไปได้ ตรงกับที่ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ได้เล่าไว้ในหนังสือ “๑๐๑ ปี ปรีดี - ๙๐ ปี พูนศุข” เรื่อง “รัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐” หน้า ๙๖-๑๐๑ มีความตอนหนึ่งว่า
“....ท่านอยู่ไหน… ?
ปลั่ง มีจุล ตอบว่า “…ท่านไปแล้วครับ....”
พลันได้ยินเสียงปืนกลจากรถถังยิงรัวใส่ตัวตึก รีบกลับไปที่ห้องนอนของลูกๆ ที่ชั้นสามให้มารวมนอนกัน
ข้าพเจ้าตะโกนร้องสวนเสียงปืนกล “…อย่ายิง ที่นี่มีผู้หญิงกับเด็ก…”
ทหารยศร้อยโทนำทหารเข้ามาในทำเนียบท่าช้าง พูดว่า “ ...พวกเราจะเปลี่ยนรัฐบาล…”
ข้าพเจ้า ท้วงทันทีว่า “….ทำไมมาเปลี่ยนที่นี่ ทำไมไม่ไปเปลี่ยนที่สภาเล่า ?...”
ปาฐกถา เรื่อง “ฯพณฯ ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ กับ การบริหารราชการแผ่นดิน” เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๓๔ ณ หอประชุม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ น่าจะเป็นเรื่องเดียวและเรื่องแรกของนายปลั่ง มีจุล ที่นำมาเปิดเผยในที่สาธารณะ และนายปลั่ง มีจุล ผู้นี้แหละ สมัยเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองได้อยู่กับท่านปรีดี พนมยงค์ ที่ทำเนียบท่าช้าง และในตอนดึกวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ได้มีการยึดอำนาจในการปกครองประเทศโดยคณะรัฐประหารนำโดยพลโทผินชุณหะวัณ ได้ส่งกำลังทหาร มีพันเอกละม้าย อุทยานานนท์เป็นหัวหน้า และร้อยโทสมบุญ ชุณหะวัณ ใช้รถทหารและยิงปืนไปที่ตึกทำเนียบเพื่อจับ (ฆ่า) อาจารย์ ปรีดี พนมยงค์ และนายปลั่ง มีจุล ที่ได้เรียกเรือจ้างที่ลอยลำอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา เรียกครั้งแรกไม่ได้ผลเพราะไม่ได้ยิน นายปลั่ง จึงต้องใช้ตะเกียงแกว่งไปมา คราวนี้ได้ผลท่านปรีดี พนมยงค์ พร้อมกับตำรวจติดตาม ก็ได้หลบหนีไปได้อย่างฉิวเฉียด
ในมุขปาฐะมีความตอนหนึ่งที่ประทับใจมาก ว่า
“....ท่านอาจารย์บริหารในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาได้สักสัปดาห์สองสัปดาห์ คงจะราวๆ ปลายเดือนตุลาคม ๒๕๑๖ นั้นเอง ปรากฏว่ามีธนาคารชั้นดีธนาคารหนึ่ง มีหนังสือแจ้งท่านอาจารย์มาว่า มีเงินอยู่ในบัญชีที่ท่านอาจารย์ในฐานะนายกรัฐมนตรีจะสั่งใช้อะไรก็ได้ในธนาคารนี้ จำนวน ๔๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท(สี่สิบห้าล้านบาท) ในปี ๒๕๑๖ โน้นนับว่าจำนวนไม่น้อย มากพอดู ท่านอาจารย์ได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าเป็นเงินของทางราชการ จึงได้สั่งเชิญท่านอาจารย์บุญมาวงศ์สวรรค์ ซึ่งท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงในตอนนั้นมาปรึกษา และก็นำเงินเข้าเป็นเงินคงคลังตามระเบียบ เรื่องนี้มีหลักฐานดูได้ที่กระทรวงการคลัง....”
“ธรรมานุธรรมปฏิบัติ” ในลักษณะนี้แหละคือกรอบวินัยการเงินการคลังที่แท้จริงและที่หาได้ยากในปัจจุบัน
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี