หากพิเคราะห์จากผลการเลือกตั้งของประเทศไทยในห้วงเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา พบว่าคนไทยสืบทอดวัฒนธรรมความเคารพยำเกรงระบบบ้านใหญ่ มาแต่โบร่ำโบราณ ที่ประเทศยังไม่พัฒนาเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน คนไทยรวมตัวกันอยู่เป็นซุ้มเป็นซ่องภายใต้พระเดชพระคุณคุ้มครองของคุณท่านประมุขบ้านใหญ่
ในยุคกลางรัตนโกสินทร์ สังคมไทย มีบ้านใหญ่เป็นซุ้ม เป็นซ่องคุ้มครองสมุนบริวาร ในชุมชนหมู่บ้านจากโจรผู้ร้าย หรือ นักเลงต่างถิ่นคนไทยถึงได้สืบทอดวัฒนธรรมเกรงใจเคารพนับถือ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งซุ้มซ่องกันมาจนกระทั่งพัฒนา เป็นหมู่บ้านตำบล ชาวบ้านที่แยกย้ายจากบ้านใหญ่ไปสร้างครอบครัวตัวเองก็ยังเลือกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่เป็นทายาทหัวหน้าซุ้มซ่อง เป็นผู้นำชุมชน และ วัฒนธรรมการเลือกผู้นำจากความเคารพเกรงใจจึงปฏิบัติต่อๆ กันมาจนประเทศเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นประชาธิปไตย ที่ชาวบ้านในชนบทซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของสังคมไทยเข้าใจว่า “ประชาธิปไตย” เป็นลูกชายพระยาพหลฯ
นับตั้งแต่คณะราษฎรปล้นพระราชอำนาจพระราชทรัพย์ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ชาวบ้านในชนบทส่วนใหญ่ได้ยินคำว่า “การปกครอง เลือกตั้งตลอดถึงคำว่า ประชาธิปไตย” จากการแสดงพื้นบ้านลิเก หมอลำ หนังตะลุง มโนราห์ ที่ผู้นำชุมชนกำนันผู้ใหญ่บ้านตลอดถึง พ่อค้าคหบดี จัดหามาแสดงในงานบุญและเทศกาลต่างๆ ชาวบ้านที่ทำมาหากินอยู่ตามเรือกสวน หัวไร่ปลายนา เริ่มหาความรู้จากผู้นำชุมชนว่า ประชาธิปไตย และ เลือกตั้งคืออะไร จนกระทั่ง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการปฏิวัติรัฐประหารในทศวรรษ 2500 คำว่า ประชาธิปไตยที่กรอกหูชาวบ้านทุกเมื่อเชื่อวันเงียบหายไป และมีคำว่า“พัฒนา” ขึ้นมาแทนที่
ประเทศไทยหยุดกับที่ตลอดเวลายี่สิบห้าปี ที่คณะราษฎร์แย่งชิงอำนาจกันไปมาเริ่มพัฒนาตั้งแต่ พ.ศ. 2503 เมื่อ จอมพลสฤษดิ์ ประกาศ นโยบายพัฒนาน้ำไหล ไฟฟ้าสว่าง ทางสะดวก และตามมาด้วยแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมฉบับที่ 1 ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านในชนบทซึ่งเป็นส่วนใหญ่ 70% ของไทย เริ่มทำความเข้าใจกับคำว่า “พัฒนา” ผู้นำชุมชน บ้านใหญ่ทั้งหลายแปลงกายเป็น ผู้ช่วยพัฒนา โดยการตัดไม้ทำลายป่ามาแปรรูปขาย บางก็ระเบิดภูเขาทำโรงโม่หิน สนับสนุนการพัฒนาสร้างถนนหนทาง และสร้างโครงพื้นฐาน ผู้นำชุมชนและพ่อค้าคหบดีในภูมิภาคต่างจังหวัดยกระดับเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างประมูลงานตามโครงการพัฒนาของรัฐบาลและโรงงานเอกชน
จากจุดนี้เองที่ผู้นำชุมชนกำนัน ผู้ใหญ่บ้านพ่อค้าคหบดี ในต่างจังหวัดยกระดับขึ้นมาเป็น“บ้านใหญ่” ที่ชาวบ้านเชื่อถือนับหน้าถือตา บ้านใหญ่ในต่างจังหวัดชนบท จึงพัฒนาไปคู่กับแผนพัฒนาสังคมเศรษฐกิจของ จอมพลสฤษดิ์ ดังนั้นเมื่อมีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยเสี้ยวใบเมื่อ พ.ศ.2512 จึงมีผู้แทนราษฎรจากบ้านใหญ่ได้รับเลือกเข้าสภาหลายคน และอิทธิพลบ้านใหญ่ขยายตัวมากขึ้นในยุคประเทศไทย มีประชาธิปไตยครึ่งใบในปี 2524 ที่เครือข่ายพ่อค้าคหบดีและบ้านใหญ่ได้รับเลือกเข้าสภามากขึ้นตามลำดับ
จนถึงยุคประเทศไทยพัฒนาจากสังคมเกษตรกรรม เป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ หรือ NIC(New Industrial Nation) เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ตลอดถึงเจ้าของที่ดินรายใหญ่กลายเป็นบ้านใหญ่เพิ่มขึ้นและบ้านใหญ่ที่มีไพร่พลสมุนบริวาร ตลอดถึงแรงงานในสังกัดมากมายแผ่ขยายอิทธิพลเข้าสภา ทั้งมาจากการเลือกตั้งและแต่งตั้งในสัดส่วนมากขึ้น มีอำนาจต่อรองในการบริหารประเทศอย่างมีนัย เรียกได้ว่า ตั้งแต่ทศวรรษที่ 2530 นายทุน ขุนศึก ตลอดถึง อดีตทหารป่า ต้องใช้บริการบ้านใหญ่เพื่อชัยชนะเลือกตั้งทางการเมือง จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ พ.ศ.2530 เป็นต้นมาพรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้ง ได้เป็นรัฐบาล อาทิ พรรคชาติไทย พรรความหวังใหม่ พรรคชาติไทยพัฒนา แม้กระทั่งพรรคสามัคคีธรรม ที่ชนะเลือกตั้ง 2535/1 แต่ไม่ได้เป็นรัฐบาล ล้วนแต่ใช้บริการบ้านใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าพ่อตะวันออกชลบุรี เจ้าพ่อบ้านใหญ่ ปากน้ำ เจ้าพ่อวังน้ำเย็นบ้านใหญ่นครปฐม พ่อใหญ่บุรีรัมย์ พ่อใหญ่ขอนแก่น แม่เลี้ยงโคราช ตลอดถึง พ่อเลี้ยงเชียงราย พ่อเลี้ยงเชียงใหม่ และบ้านใหญ่เหล่านี้ย้ายไปอยู่พรรคไหนพรรคนั้น ต้องได้เป็นรัฐบาล
ถึงทศวรรษ 2540 เมื่อนักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์อุบัติขึ้นในแวดวงการเมืองไทย บ้านใหญ่ทั้งหลายก็แห่ย้ายเข้าสังกัดธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ ผลักดันจนเป็น เผด็จการรัฐสภา เมื่อธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ครอบงำทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จึงเป็นที่มาคอร์รัปชั่น และทุจริตทางนโยบายครั้งมโหฬาร จนประชาชนลุกฮือต่อต้านเกิดความวุ่นวาย สุดท้ายทหารยึดอำนาจยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2540 และเขียนกติกาเลือกตั้งใหม่ทั้งผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
ปี 2543 มีการเลือกตั้งวุฒิสภาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่รัฐธรรมนูญ 2540 กำหนดให้วุฒิสภา 200 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนเพื่อลดข้อครหาว่า สว.สรรหา เป็น สภาตรายาง ที่ผู้ได้รับการแต่งตั้งส่วนใหญ่ เป็นทหาร หรือไม่ใช้เส้นสายคนในเครือข่ายอำนาจ แต่ผลสุดท้ายปรากฏว่า สว.ที่มาจากเลือกตั้งปี 2543 ส่วนใหญ่ถูกครอบงำโดยธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ ที่สื่อมวลชนให้สมญานามว่าเป็น “สภาชิน”
หลังจากทหารยึดอำนาจปี 2549 หลายฝ่ายวิจารณ์ว่า วุฒิสภาสรรหา หรือ สว.แต่งตั้ง ส่วนใหญ่มีวุฒิภาวะ มีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถมากกว่าวุฒิสภามาจากเลือกตั้งแต่เมื่อเริ่มเลือกตั้งแล้วจะถอยหลังกลับไม่ได้รัฐธรรมนูญ 2550 จึงกำหนดที่มาวุฒิสภาใหม่ คือ ให้คานกันครึ่งต่อครึ่ง การเลือกตั้งวุฒิสภา 2553 จึงมี สว.จากเลือกตั้ง 74 คน สว.สรรหา 76 คนลดจำนวน สว.จาก 200 เหลือ 150 ที่นั่ง
อย่างไรก็ตาม สว.เลือกตั้งครึ่งหนึ่ง สรรหาครึ่งหนึ่งยังไม่วายถูกครอบงำจากธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ จนสื่อมวลชนให้สมญานาม “สภาทาส” จากกรณีผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยปี 2565
ดังนั้น หลังจากรัฐธรรมนูญ 2550 ยกเลิกใช้รัฐธรรมนูญ 2560 จึงกำหนดที่มา สว.ใหม่ สว.ชุดแรก ตามรัฐธรรมนูญ 2560 เป็น สว.แต่งตั้งพิเศษตามบทเฉพาะกาล 5 ปี 250 คน ที่ คสช.แต่งตั้งเพื่อค้ำจุนบัลลังก์ผู้ยึดอำนาจในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน โดยให้อำนาจ สว.เลือกตั้ง นายกรัฐมนตรีในรัฐสภาร่วมกับ สส.ที่มาจากเลือกตั้ง 500 ที่นั่ง และหลังจาก สว.แต่งตั้ง 250 คนหมดวาระ เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จึงจัดให้มีการเลือก สว. ชุดใหม่ แบบพิสดาร ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ แต่วิธีเลือกใหม่เข้าทางนักการเมืองบ้านใหญ่ที่มีเครือข่าย และเชี่ยวชาญการจัดตั้ง จึงไม่แปลกใจหากผู้สมัครบ้านใหญ่ได้รับเลือกเป็น สว.มากกว่าผู้สมัครที่ได้รับความนิยมในเขตใดเขตหนึ่ง แต่ไม่มีเครือข่ายกว้างใหญ่จัดตั้งระดับประเทศ
วิธีการเลือกแบบใหม่โดยให้ผู้สมัครเลือกกันเองในหมู่ผู้สมัคร 20 สาขา และตามการแบ่งสายในขั้นตอนระดับอำเภอ ในระดับจังหวัด มีทั้งให้เลือกกันเองตามสายและเลือกไขว้กันไปมาในแต่ละสาขาที่สมัคร และมีการคัดกรองโดยการเลือกไขว้กันไปมาจนถึงขั้นสุดท้ายในระดับประเทศ ซึ่งวิธีการเลือกแบบใหม่ประชาชนสับสนไม่เข้าใจ แต่นักการเมืองบ้านใหญ่ที่มีพรรคพวกเส้นสายในระดับอำเภอ จังหวัด ตลอดถึงมีเครือข่ายระดับประเทศ รู้ว่าการเลือกแบบนี้จัดตั้งได้ง่ายใช้กระสุนกลบกระแสได้
จึงมีข่าวว่า ในบรรดาผู้สมัครกว่า 46,000 คนนั้น ผู้สมัครกว่า 60% ถูกจัดตั้งมาให้เลือกผู้สมัครระดับอำเภอและจังหวัดเท่านั้น เราจึงพบว่า มีผู้สมัครเพียงไม่กี่คนที่ออกมาโวยวายว่า ฮั้วกันครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกส่วนผู้สมัครที่เหลือสามหมื่นกว่าคนได้แต่พูดว่า “ช่วยๆ กัน” เมื่อญาติมิตรถามว่า สมัครทำไม เมื่อรู้ตัวว่าระดับอำเภอ ก็ไม่ผ่าน ผู้สมัครบางคนถึงกับแสดงความมั่นใจว่า ผู้สมัครในอำเภอเดียวกันกับเขา ต้องผ่านรอบสุดท้ายได้เป็นสว.แน่นอน “พี่ก็รู้นี่ว่าสส.บ้านใหญ่ ไม่ได้มีเส้นสายแค่ในจังหวัดเขา มีพรรคพวกเครือข่ายจัดตั้งได้ทั่วประเทศ” ผู้สมัครคนหนึ่งกล่าวกับ แนวหน้า
ผลการเลือก สว. ชุดที่ 13 และเป็นการเลือก สว. ครั้งที่ 3 ประเทศไทยที่ออกมาขอตั้งฉายาล่วงหน้าว่า “สว. บ้านใหญ่” ที่คงจะไม่เป็นอาถรรพณ์ให้ต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่หลังจากใช้เลือก สว. เพียงครั้งเดียวเหมือนอดีตที่ผ่านมาที่ทำให้ประเทศไทยใช้รัฐธรรมนูญเปลืองที่สุดในโลก
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี