สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ 2568 ในวาระที่หนึ่งแล้ว และได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นพิจารณาในชั้นแปรญัตติและคาดว่าจะแล้วเสร็จในที่สุดก่อนวันที่ 30 กันยายน2567 ซึ่งหมายความว่าจะมีผลใช้บังคับก่อนปีงบประมาณใหม่ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567และหมายความต่อไปด้วยว่างบประมาณปี 2568 นั้น สามารถใช้บังคับได้เร็วกว่างบประมาณปี 2567 ซึ่งล่าช้ามาเกือบ 6 เดือน จนเสียหายแก่การบริหารราชการแผ่นดินจำนวนมาก
ในการอภิปรายวาระแรกของงบประมาณ 2568 นี้ดูเหมือนว่าจะมีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน แต่ความดุเดือดนั้นแท้จริงแล้วไม่มีสาระที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณางบประมาณเลย มีแต่เรื่องราวที่เป็นเชิงชั้นเหลี่ยมคูทางการเมือง ซึ่งไม่เป็นสาระและไม่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ที่สำคัญคือประชาชนทั่วประเทศไม่ทราบอย่างชัดเจนว่างบประมาณ 2568 นั้นเป็นอย่างไร
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า กฎหมายงบประมาณนั้นคือกฎหมายที่ให้อำนาจรัฐบาลนำเงินแผ่นดินไปใช้จ่ายได้ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายงบประมาณเงินแผ่นดินที่ว่านี้หมายถึงรายได้ของรัฐสี่ประเภท คือ เงินที่จัดเก็บจากภาษีอากรทุกชนิด เงินกู้ยืมทุกชนิด เงินได้จากรัฐพาณิชย์ หรือกำไรจากรัฐวิสาหกิจและการขายทรัพย์สินของรัฐ และประเภทที่สี่คือเงินบริจาคหรือเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ
เงินทั้งสี่ประเภทนี้เรียกว่ารายได้แผ่นดิน รัฐธรรมนูญบัญญัติว่าจะนำไปใช้ได้ก็แต่โดยที่กำหนดไว้ตามกฎหมายงบประมาณ และเมื่อจัดเก็บมาได้แล้วตามกฎหมายเงินคงคลังบัญญัติให้ต้องนำเข้าบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ 1 เมื่อเวลาจะจ่ายตามที่กฎหมายงบประมาณกำหนดจะต้องเบิกจ่ายจากบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ 1 นี้
โดยปกติในการจัดทำรายจ่ายตามกฎหมายงบประมาณนั้น มีวิธีการจัดทำที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ เรียกว่ากฎหมายวิธีการงบประมาณ ซึ่งหมายความว่าก่อนจะมีตัวเลขเป็นรายจ่ายตามงบประมาณของหน่วยงานใด ก็ต้องจัดทำตัวเลขรายจ่ายนั้นตามวิธีการที่กฎหมายวิธีการงบประมาณกำหนด ซึ่งกล่าวสรุปได้ว่าหน่วยงานต้นสังกัดไม่ว่าในส่วนกลางหรือในส่วนภูมิภาคจะต้องตั้งเป็นโครงการว่ามีความจำเป็นต้องทำโครงการอะไร จะต้องจัดซื้อจัดจ้างอย่างไร จะได้รับผลประโยชน์จากโครงการนี้อย่างไร เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างไร และมีวิธีการป้องกันการรั่วไหลหรือทุจริตอย่างไร
เมื่อหน่วยงานต้นสังกัดจัดทำโครงการเช่นว่านี้แล้วก็จะเสนอโครงการเป็นลำดับ จนไปถึงสำนักงบประมาณก็จะมีการตรวจสอบและเกลี่ยตัวเลขต่างๆ ให้มีความสมเหตุสมผล และจัดแยกแยะเป็นรายจ่ายของแต่ละหน่วยงาน คือแต่ละกระทรวงว่าเป็นจำนวนเท่าไหร่ จึงจะออกตัวเลขรายการว่าแต่ละกระทรวงจะใช้จ่ายงบประมาณได้จำนวนเท่าใด โดยมีรายละเอียดตามโครงการที่ได้จัดทำขึ้นตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ จากนั้นตัวเลขรวมดังกล่าวจะถูกนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบ ซึ่งจะมีการเปรียบเทียบว่ารายจ่ายรวมทั้งหมดเท่าใด มีรายได้รวมทั้งหมดเท่าใด มีเงินขาดเหลือเท่าใด ในกรณีที่รายจ่ายตามงบประมาณมากกว่ารายได้ก็ต้องกู้เงินมาชดเชย และเรียกงบประมาณแบบนี้ว่างบประมาณขาดดุล
ดังนั้นบรรดาประเทศทั้งหลายหรือรัฐบาลทั้งหลายที่ซื่อตรงและยึดถือผลประโยชน์แห่งชาติจึงต้องพยายามทำให้การจัดทำงบประมาณเป็นไปตามบทกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ปล่อยให้มีความรั่วไหลเกิดขึ้น
เพราะในระบบการจัดทำงบประมาณนั้นมีช่องโหว่อยู่ช่องหนึ่ง และผู้มีอำนาจหรือนักการเมืองก็นิยมชมชอบที่จะใช้ช่องโหว่นี้ตั้งตัวเลขงบประมาณที่สามารถใช้จ่ายได้ตามอำเภอใจ คือไม่ต้องทำตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ ตัวเลขงบประมาณประเภทนี้เรียกว่างบกลาง ซึ่งกล่าวสรุปได้ว่างบกลางก็คือการตั้งตัวเลขใช้จ่ายเงินแผ่นดินโดยละเว้นไม่ทำตามกฎหมายวิธีการงบประมาณซึ่งเป็นระบบกฎหมายเพื่อควบคุมการจัดทำและการใช้จ่ายเงินงบประมาณให้เป็นไปโดยมีประสิทธิภาพ
ในบางสมัย ฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลฮั้วกัน โดยนำเงินในงบกลางมาแบ่งกันใช้อย่างสนุกสนาน เช่น รัฐบาลได้ส่วนแบ่ง 70% ฝ่ายค้านได้ส่วนแบ่งไปใช้ 30% ซึ่งเป็นที่สนุกสนานของนักการเมือง แต่บ้านเมืองก็ฉิบหายวายวอด เพราะเหตุนี้งบกลางจึงเป็นขนมหวานที่จูงใจและล่อใจนักการเมือง ซึ่งประชาชนจะต้องรู้เท่าทันว่าเมื่อใดที่งบกลางมากเท่าใดก็หมายความว่ากระบวนการฉ้อฉลปล้นชาติก็มากขึ้นเท่านั้น
ในปีงบประมาณ 2568 นี้ เป็นงบประมาณประเภทขาดดุล หมายความว่ารายได้แผ่นดินน้อยกว่ารายจ่ายที่ตั้งไว้เป็นจำนวนถึง 8.6 แสนล้านบาท โดยมีวงเงินงบประมาณรวม 3,752,700 ล้านบาท เป็นวงเงินงบประมาณที่มากกว่าปี 2567 ถึง 7.84% หมายความว่าภายใต้กฎหมายงบประมาณนี้ รัฐบาลจะต้องไปกู้เงินเป็นเงินถึง 8.6 แสนล้านบาท หรือเกือบ 1 ใน 3 ของงบประมาณมาใช้จ่าย ซึ่งเป็นการเพิ่มหนี้ให้กับแผ่นดินเพิ่มขึ้น
ในจำนวนงบประมาณทั้งหมดนั้น ปรากฏว่าเป็นงบกลางถึง 8.057 แสนล้านบาท เกือบเท่ากับ 1 ใน 3 ของวงเงินงบประมาณ ซึ่งหมายความว่าเป็นงบที่ไม่ต้องทำตามกฎหมายวิธีการงบประมาณในสัดส่วนที่สูงมากเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้นักการเมืองใช้งบนี้กันอย่างสนุกสนานมันมือที่สุด และเป็นการตั้งงบกลางที่เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ถึง 200 ล้านบาท
ดังนั้นนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจจึงสามารถใช้เงินงบกลางนี้ได้ตามอำเภอใจเป็นจำนวนสูงลิบลิ่วถึง 8.057 แสนล้านบาท มากกว่างบประมาณของ 15 กระทรวงรวมกัน และในการใช้เงินนี้ก็เพียงแต่อ้างว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้นก็สามารถใช้ได้แล้ว
นี่คือความรั่วไหลและโอกาสที่บ้านเมืองจะเสียหายจากการใช้จ่ายเงิน 8.057 แสนล้านบาท หรือเกือบ1 ใน 3 ของวงเงินงบประมาณโดยไม่ต้องทำเป็นโครงการใดๆตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครทักท้วงหรือชี้ให้เห็นความเสียหายนี้เลย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี