โครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนา เป็นเรื่องที่ควรทำ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งเพิ่มความสามารถในการผลิตของชาวนา
1. ในอดีต เคยมีโครงการช่วยเหลือเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ ฯลฯ ในลักษณะจัดซื้อวัตถุดิบอุปกรณ์การเกษตรไปแจกจ่ายเกษตร หรือรับซื้อสินค้าเกษตรจากเกษตรกรในราคาแพงกว่าราคาทั่วไป
แต่สุดท้าย มักพบว่ามีการทุจริตโกงกิน อาทิ
การฮั้วประมูล จัดซื้อราคาแพงจากเอกชนพวกพ้อง เพื่อนำไปแจกจ่ายชาวนา
การทุจริตระบายสินค้าเกษตร โดยรับซื้อสินค้าเกษตรจากเกษตรกรมาในราคาแพงกว่าตลาด แล้วรัฐบาลก็ให้แก่พวกพ้องของตนเองในราคาถูกกว่าราคาตลาด เช่น อ้างว่าขายข้าวจีทูจี เกิดความเสียหายมหาศาล เป็นต้น
2. ในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ได้เลือกใช้วิธีการช่วยเหลือเกษตรกร แบบจ่ายเงินตรงเข้าบัญชีเกษตรกร
ไม่ว่าจะเป็น โครงการประกันรายได้เกษตรกร ชาวนา ชาวไร่มันสำปะหลังไร่ข้าวโพด ชาวสวนยางพารา ปาล์มน้ำมัน
ไม่ต้องมีการจัดซื้อสิ่งของไปแจกให้เกษตรกร แบบซื้อปุ๋ยอินทรีย์ ฯลฯ
ไม่ต้องมีการรับซื้อสินค้าจากเกษตรกร แบบจำนำข้าว จำนำมัน จำนำยางพารา ฯลฯ
ก็เพื่อตัดวงจรการทุจริตโกงกินแบบที่เคยเป็นปัญหามาในอดีตนั่นเอง
3. โครงการ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” 29,980 ล้านบาท ยุครัฐบาลเศรษฐา
สัปดาห์ที่ผ่านมา ครม. นำโดยนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน มีมติอนุมัติหลักการโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ภายใต้มาตรการช่วยเหลือเกษตรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 (โครงการฯ) วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 29,980 ล้านบาท
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ “ปุ๋ยและชีวภัณฑ์คนละครึ่ง”
โครงการนี้ รัฐจะสนับสนุนปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ และชีวภัณฑ์แก่ชาวนา ในราคาครึ่งหนึ่ง
โดยเกษตรกรชำระเงินค่าปุ๋ยและชีวภัณฑ์ครึ่งหนึ่ง และรัฐบาลสมทบค่าปุ๋ยและชีวภัณฑ์อีกครึ่งหนึ่ง
ไม่เกินครัวเรือนละ 500 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 20 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาท ตามราคาปุ๋ยที่จ่ายจริง
รวมมูลค่าปุ๋ยไม่เกิน 20,000 บาท
โดยจะให้ “กรมการข้าว” ไปคัดเลือกปุ๋ยและเอกชนผู้ขายปุ๋ยมาก่อน จากนั้นชาวนาที่จะซื้อปุ๋ยก็เลือกว่าจะเอาปุ๋ยสูตรไหน
เมื่อชาวนาจ่ายเงินซื้อปุ๋ยแล้ว รัฐก็จะจ่ายสมทบให้อีกครึ่งหนึ่ง
ยกตัวอย่าง ชาวนาจ่ายเงินซื้อปุ๋ย 10,000 บาท (เลือกจากเมนูที่กรมการข้าวคัดมาแล้วเท่านั้น)
รัฐบาลก็จะจ่ายเงินสมทบค่าปุ๋ยให้อีก 10,000 บาท
เท่ากับว่า ชาวนาจะได้ปุ๋ยไปมูลค่าทั้งหมด 20,000 บาท
พูดง่ายๆ ว่า รัฐบาลช่วยออกเงินค่าปุ๋ยให้ครึ่งหนึ่ง โดยต้องเป็นปุ๋ยในเมนูที่ทางรัฐเลือกมาแล้วเท่านั้น
4. ชนิดและราคาปุ๋ย
เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ เลือกรับการสนับสนุนปุ๋ยที่ขึ้นทะเบียนสำหรับนาข้าวจำนวน 16 รายการ
ได้แก่ (1) ปุ๋ยสูตร 25-7-14 (2) ปุ๋ยสูตร 20-8-20 (3) ปุ๋ยสูตร 20-10-12 (4)ปุ๋ยสูตร 30-3-3 (5) ปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 (6) ปุ๋ยสูตร 18-12-6 (7) ปุ๋ยสูตร 16-8-8 (8)ปุ๋ยสูตร 16-12-8 (9) ปุ๋ยสูตร 16-16-8 (10) ปุ๋ยสูตร 16-20-0 (11) ปุ๋ยสูตร20-20-0 (12) ปุ๋ยสูตร 15-15-15 (13) ปุ๋ยสูตร 16-16-16 (14) ปุ๋ยสูตร 13-13-24(15) ปุ๋ยอินทรีย์ที่ขึ้นบัญชีนวัตกรรม หรือ ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียนปุ๋ยอินทรีย์ (16) ชีวภัณฑ์ที่ได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย
โดยกรมการข้าวจะประกาศรับสมัครคัดเลือกผู้ประกอบกิจการปุ๋ยและชีวภัณฑ์ในประเทศ ทำข้อตกลงกับผู้ประกอบกิจการปุ๋ยและชีวภัณฑ์จำหน่ายแต่ละสูตรปุ๋ย ราคาเดียวกัน ไม่เกินราคาควบคุม ราคาจำหน่ายชีวภัณฑ์ตามราคาควบคุมและกรมการข้าว โดยคณะทำงาน
กำหนดราคาควบคุมปุ๋ยและชีวภัณฑ์ของโครงการฯ เป็นผู้พิจารณาราคาปุ๋ย โดยอ้างอิงจากราคาท้องตลาดราคาหน้าโรงงาน และราคาขายปลีก
5. เงิน ธ.ก.ส. 29,980 ล้านบาท จ่ายผ่านสหกรณ์ไปกระเป๋าพ่อค้าปุ๋ยโดยตรง
โครงการนี้จะใช้เม็ดเงินดำเนินการกว่า 2.9 หมื่นล้านบาท โดยใช้เงินทุน ธ.ก.ส.สำรองจ่ายดำเนินงาน
เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร ประมาณ 4.68 ล้านครัวเรือน สามารถเข้าร่วมโครงการ
ประกอบด้วย เกษตรกรที่ปลูกข้าวทั่วไปประมาณ 4.48 ล้านครัวเรือน พื้นที่ 54 ล้านไร่ และเกษตรกรที่ปลูกข้าวอินทรีย์ประมาณ 2 แสนครัวเรือน พื้นที่ 1.20 ล้านไร่
ตรวจสอบขั้นตอนวิธีการดำเนินโครงการฯ จะพบว่า เงินช่วยเหลือจะไม่ได้เข้ากระเป๋าชาวนา แต่เข้ากระเป๋าพ่อค้าปุ๋ยโดยตรง (ผ่านสหกรณ์)
โดยเริ่มจากกรมการข้าว จะคัดเลือกผู้ประกอบกิจการปุ๋ยและชีวภัณฑ์ไว้ก่อนเพื่อให้เป็นผู้จัดหาปุ๋ยและชีวภัณฑ์
ส่วนกรมส่งเสริมสหกรณ์ ก็รับสมัครคัดเลือกสหกรณ์การเกษตรเข้าร่วมโครงการฯ
จากนั้น สหกรณ์การเกษตร ค่อยเลือกผู้ประกอบกิจการปุ๋ยและชีวภัณฑ์ จากที่กรมการข้าวคัดเลือกไว้ให้
ด้านเกษตรกรผู้ปลูกข้าว จะขอใช้สิทธิตามระบบข้อมูลโครงการฯ ผ่าน Application ของ ธ.ก.ส.
เกษตรกรจะต้องชำระเงินสมทบค่าปุ๋ยและชีวภัณฑ์ตามที่แจ้งความประสงค์
พูดง่ายๆ ชาวนาต้องจ่ายเงินค่าปุ๋ยเองก่อน รัฐจึงจะช่วยสมทบ
จากนั้น สหกรณ์การเกษตรตรวจสอบการใช้สิทธิผ่าน Application เพื่อดูข้อมูลความต้องการปุ๋ยและชีวภัณฑ์ ปริมาณ สูตร และวัน เวลาการรับปุ๋ยและชีวภัณฑ์และแจ้งผู้ประกอบกิจการปุ๋ยและชีวภัณฑ์
ผู้ประกอบกิจการปุ๋ยและชีวภัณฑ์ส่งปุ๋ยและชีวภัณฑ์ให้สหกรณ์การเกษตร เพื่อให้สหกรณ์การเกษตรส่งต่อปุ๋ยและชีวภัณฑ์ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ณ สถานที่ และเวลาตามแผนการส่งมอบปุ๋ยและชีวภัณฑ์
เมื่อส่งมอบเสร็จ สหกรณ์การเกษตรสรุปข้อมูล ตรวจสอบวงเงินค่าปุ๋ยและ
ชีวภัณฑ์ แจ้ง ธ.ก.ส.
จากนั้น ธ.ก.ส.จะจ่ายเงินให้สหกรณ์การเกษตร และสหกรณ์การเกษตรจ่ายเงินให้ผู้ประกอบกิจการปุ๋ยและชีวภัณฑ์
6. สมัยรัฐบาลลุงตู่ เคยช่วยชาวนาด้วยการประกันรายได้ และโครงการจ่ายเงินสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว (โครงการ
ไร่ละ 1,000 บาท) ใช้งบประมาณช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีละประมาณ 54,300 ล้านบาท
ทั้งสองโครงการในยุคนั้น จ่ายเงินเข้ากระเป๋าชาวนาโดยตรง
เมื่อชาวนาได้เงินไปแล้ว จะเอาข้าวไปขายที่ไหนก็ได้ จะเอาเงินไปซื้อปุ๋ยหรือปัจจัยการผลิตที่ไหน ก็ตามแต่ชาวนาจะพิจารณาเอาเอง
มายุคนี้ โครงการ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” ยุครัฐบาลนายกฯเศรษฐา เงินจะไม่ได้จ่ายเข้ากระเป๋าชาวนา
แต่ภาครัฐจะไปเจรจาคัดเลือกปุ๋ยและพ่อค้าปุ๋ยมาให้ชาวนา
แล้วชาวนาจะต้องจ่ายเงินค่าปุ๋ยเองครึ่งหนึ่ง แล้วรัฐถึงจะออกให้อีกครึ่งหนึ่ง
โดยเงินค่าปุ๋ยประมาณ 29,980 ล้านบาท จะถูกจ่ายจาก ธ.ก.ส. ผ่านสหกรณ์การเกษตรไปเข้าบัญชีพ่อค้าปุ๋ย
ไม่ผ่านกระเป๋าชาวนาเลยด้วยซ้ำ
7. รัฐบาลคาดหวังว่า เกษตรกรผู้ปลูกข้าวประมาณ 4.68 ล้านครัวเรือนจะสามารถลดต้นทุนการผลิตข้าวได้ร้อยละ 10 ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และมีอำนาจในการใช้จ่ายภาคครัวเรือนเกษตรกรและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
รัฐบาลคาดหวังว่า เกษตรกรผู้ปลูกข้าวประมาณ 4.68 ล้านครัวเรือน
จะสามารถเข้าถึงปุ๋ยคุณภาพในราคาถูก สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว และยกระดับคุณภาพข้าว เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ขณะเดียวกัน การใช้จ่ายในการซื้อปัจจัยการผลิต จะทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศเกิดการหมุนเวียน
และนายกฯ เศรษฐายืนยันว่า ต่อไปนี้ รัฐจะไม่ทำโครงการช่วยเหลือไร่ละพันบาทแล้ว ทำให้ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐลงไปได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สังคมต้องจับตามอง ป้องกันความเสี่ยงที่จะอาจเกิดการทุจริตได้เหมือนในอดีต
นั่นคือ กระบวนการคัดเลือกพ่อค้าปุ๋ย และการกำหนดราคาปุ๋ยที่จะเข้าโครงการนี้ได้ ซึ่งจะกระทบกับผลประโยชน์อันพึงมีพึงได้ของชาวนาโดยตรง
คงจำได้ บทเรียนคดีทุจริตประมูลจัดซื้อปุ๋ยวงเงิน 367 ล้านบาท เมื่อปี 2544-2545
ยุคนั้น มีการเสนอให้มีการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกรมส่งเสริมการเกษตรจำนวน 1.31 แสนตัน วงเงิน 367 ล้านบาท เพื่อนำไปช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยธรรมชาติ
สุดท้าย เกิดการทุจริตประพฤติมิชอบ ร่วมกันเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือฮั้วประมูล และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ 157
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง พิพากษาจำคุก 6 ปี “ชูชีพ หาญสวัสดิ์” และ “วิทยา เทียนทอง” โดยไม่รอลงอาญา
อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เพราะคราวนี้ ไม่ใช่วงเงิน 367 ล้านบาท แต่มหาศาลถึง 29,980 ล้านบาท!
แต่ถ้ากรมการข้าว ยุค รมต.เกษตรฯ ที่ชื่อร้อยเอกธรรมนัส สามารถกำกับดูแลให้เกิดความโปร่งใส ต่อรองราคาปุ๋ยจนได้ราคาถูกกว่าท้องตลาด ไม่มีการรั่วไหล โครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการผลิตข้าวของชาวนาอย่างยิ่งใหญ่ต่อไป
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี