หากไม่นับการเสียอิสรภาพ ๒ ครั้งของชาติไทยในปีพุทธศักราช ๒๑๑๒ และปีพุทธศักราช ๒๓๑๐ ซึ่งการเสียอิสรภาพในครั้งแรกนั้น สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้กู้ชาติกลับคืนมา ส่วนในครั้งที่ ๒ นั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้กู้ชาติกลับคืนมา จึงอาจจะกล่าวได้ว่านอกจากนั้นแล้วไทยไม่เคยต้องเสียดินแดนเลย
พระมหากษัตริย์ของชาติหลายพระองค์ นอกจากการจะต่อสู้ในศึกสงคราม โดยพระองค์เป็นผู้นำทัพเองแล้วนั้น ยังพบว่าในหลายๆ ครั้งเป็นการยกทัพไปต่อสู้ เพื่อการขยายอาณาเขตของชาติด้วย ซึ่งเรื่องนี้เป็นมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นยุคหนึ่งที่ชาติไทยมีเขตแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล และพระมหากษัตริย์พระองค์ต่อๆ มา ก็ทรงต่อสู้เพื่อปกป้องรักษาแผ่นดินไทยเอาไว้ ให้ลูกหลานได้เป็นอย่างดี
ชาติไทยต้องมาเสียดินแดนบางส่วน ซึ่งสร้างความเจ็บช้ำใจไม่ใช่เฉพาะแต่ประชาชนคนไทยเท่านั้น แต่องค์พระมหากษัตริย์ที่ปกครองบ้านเมืองก็ทรงเสียพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่งด้วย เหตุการณ์นี้เกี่ยวพันอยู่กับหลายเหตุการณ์ เป็นช่วงระยะเวลาต่อเนื่องยาวนานพอสมควร จนมาถึงวิกฤตการณ์ รศ. ๑๑๒
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สุวรรณภูมิหรือแผ่นดินทองนั้นเป็นเป้าหมายของชาติตะวันตกหลายชาติที่หวังจะได้ครอบครอง เพราะเป็นแผ่นดินที่เต็มไปด้วยทรัพยากรมหาศาล ตลอดจนสภาพของภูมิประเทศและภูมิอากาศก็เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตและการค้าขายเป็นอย่างดีที่สุด จึงทำให้ชาติทางยุโรปซึ่งแต่เดิมก็เดินทางเข้ามาเพื่อจะทำการค้าขายเท่านั้นเกิดความฮึกเหิมและคิดจะเข้าครอบครอง
ชาติยุโรปที่ได้พยายามขยายอาณาเขตเหล่านั้น ได้แก่ ฝรั่งเศส อังกฤษ ฮอลแลนด์ซึ่งคือเนเธอร์แลนด์ในปัจจุบันนี้เป็นต้น ทั้งนี้ไม่นับรวมพม่าที่แม้จะเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ก็พยายามที่จะรุกรานไทยมาโดยตลอด
ในอดีตนั้น ดินแดนที่อยู่ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ตอนเหนือตั้งแต่อาณาจักรล้านช้าง สิบสองจุไทย จนลงมาถึงตอนใต้เสียมราฐและศรีโสภณ ซึ่งคือบางส่วนของประเทศลาวและเขมรในปัจจุบันนี้ อยู่ภายใต้การครอบครองของชาติไทย
ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๐ ประเทศฝรั่งเศสได้เริ่มเข้ามาล่าอาณานิคม เพื่อจะยึดครองดินแดนแถบนี้ให้เป็นของตัวเอง เริ่มจากการเข้ายึดครองประเทศเวียดนาม และเริ่มกล่าวอ้างว่าพื้นที่บางส่วนที่ไทยครอบครองอยู่นั้นเป็นพื้นที่ของเวียดนาม ที่ไทยจะต้องคืนให้กับฝรั่งเศส โดยได้มีการแต่งตั้งนายโอกุสต์ ปาวี ซึ่งเดิมเป็นรองกงสุลฝรั่งเศสประจำหลวงพระบาง ซึ่งต่อมาได้รับตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด เป็นราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงเทพมหานคร ให้รับผิดชอบในการเจรจากับประเทศไทยโดยตลอด และจากการที่ไทยไม่สามารถดูแลหัวเมืองชายแดนได้ทั่วถึง ในที่สุดก็เริ่มเสียดินแดนส่วนนี้ คือฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียดินแดนประเทศราชของไทยในเขมรและลาวที่เหลืออยู่ในเวลาต่อมา
ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๖ ได้เริ่มมีเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่ของฝรั่งเศสและฝ่ายไทยที่ดูแลพื้นที่ในแถบฝั่งซ้ายแม่น้ำน้ำโขงของลาวมากขึ้น ทำให้ไทยต้องเตรียมกำลังในการรับมือ โดยการเกณฑ์ทหารเพื่อป้องกันชายแดนในเขตเมืองจำปาศักดิ์ หนองคายและหลวงพระบาง ทำให้ฝรั่งเศสฉวยโอกาสว่าไทยเตรียมทำสงครามกับฝรั่งเศส โดยนายโอกุสต์ ปาวี ถึงขนาดออกประกาศว่า ฝรั่งเศสถือว่าดินแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขงทั้งหมดที่เคยส่งบรรณาการให้ญวน ไม่เป็นของไทยอีกต่อไป และอ้างสิทธิ์ครอบครองเองอย่างเต็มที่ จนเป็นชนวนในที่สุดที่ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ รศ. ๑๑๒
ฝรั่งเศสได้นำเรือรบเข้ามาปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา และมีการต่อสู้กับเรือรบของไทย และปืนใหญ่ที่ระดมยิงใส่จากป้อมพระจุลจอมเกล้า จนทำให้เกิดความเสียหายของทั้งสองฝ่าย โดยมีทหารฝรั่งเศสเสียชีวิตด้วย เป็นต้นเหตุให้มีการเรียกร้องให้ไทยชดใช้ความเสียหาย ส่งสัญญาณว่าหากไม่ยินยอมจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงและคุกคามประเทศไทยมากกว่านี้ จนในที่สุดต้องมีการเจรจาโดยไทยยอมเสียเงินตามที่ฝรั่งเศสเรียกร้องเป็นค่าเสียหายเป็นเงินมากกว่า ๓ ล้านฟรังก์เพื่อให้เหตุการณ์ทั้งหมดยุติลง โดยเงิน ๓ ล้านฟรังก์นั้นคือเงินถุงแดง เป็นเงินส่วนพระองค์ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเก็บรวบรวมไว้จากการค้าขายกับต่างประเทศมาตั้งแต่ก่อนขึ้นครองราชย์แล้ว และฝรั่งเศสยังยึดจังหวัดจันทบุรี ไว้เป็นประกันนอกเหนือจากสิบสองจุไทย และยังยึดครองพื้นที่ราชอาณาจักรลาว เกือบทั้งหมด รวมเป็นพื้นที่มากกว่า ๑๔๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร และต่อมายังยึดพื้นที่บริเวณด่านซ้ายและเมืองตราดเพิ่มเติมด้วย
จันทบุรีถูกยึดครองโดยฝรั่งเศสเป็นเวลานานเกือบ ๑๔ ปี ก่อนที่ต่อมาจะเจรจาเอาคืนได้สำเร็จ โดยไทยต้องยอมเสียพื้นที่ของเขตมโนไพร จำปาศักดิ์หลวงพระบางฝั่งขวา รวมทั้งพระตะบอง เสียมราฐและศรีโสภณ เพื่อแรกเอาด่านซ้ายและเมืองตราดให้ไทยในที่สุด และฝรั่งเศสยอมถอนทหารออกจากพื้นที่ของไทยทั้งหมด ทำให้วิกฤตการณ์ รศ. ๑๑๒ สิ้นสุดลงในปี ๒๔๔๙
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระมหากษัตริย์ผู้ทรงปกครองแผ่นดิน ผู้ทรงใช้พระปรีชาสามารถอย่างที่สุด ในการที่ไทยจะไม่เสียเอกราชและถูกยึดครองโดยฝรั่งเศส ทรงเสียพระราชหฤทัยเป็นอย่างมากจนตรอมพระราชหฤทัย พระประชวรมาโดยตลอด และในที่สุดก็เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ที่พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต กรุงเทพฯ ยังความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่งมาสู่ประชาชนชาวไทยทั่วทุกสารทิศ
การเสียแผ่นดิน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดอีกแล้ว และเป็นเรื่องที่รัฐบาลใดก็ตามที่เข้ามาบริหารบ้านเมือง จะต้องทำหน้าที่ในการปกปักรักษาแผ่นดินผืนนี้ ไม่ให้ถูกแบ่งแยกออกไปหรือตกไปเป็นของผู้ใด ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมเป็นอันขาด
การที่ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรี และได้มีการเสนอให้ต่างชาติสามารถจะเข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมหรือที่เรียกว่าอาคารชุด จากเดิมที่ให้ไม่เกิน ๔๙% ของอาคาร เป็น ๗๕% จึงเป็นการเปิดโอกาสเพิ่มขึ้นให้ต่างชาติถือครองทรัพย์สินเป็นของตนได้ ซึ่งเชื่อว่าจะมีชาวต่างชาติจำนวนมากเข้ามาซื้ออาคารชุดดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นชาวจีน รัสเซีย หรืออื่นๆ ซึ่งนิยมมาทำธุรกิจและอยู่อาศัยในประเทศไทยมากขึ้น และแน่นอนว่าจะทำให้เกิดปัญหาทางสังคมและอื่นๆ ติดตามมาด้วย
อีกเรื่องหนึ่งที่มีการเสนอต่อที่ประชุมในคราวเดียวกัน คือการให้ต่างชาติสามารถถือครองแผ่นดินโดยการเช่าเป็นระยะเวลายาวนานถึง ๙๙ ปี เพื่อดำเนินโครงการด้านธุรกิจหรืออะไรก็แล้วแต่ เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และเป็นภัยต่อประเทศชาติอย่างแน่นอน
การให้โอกาสต่างชาติถือครองที่ดินยาวนานเทียบเท่ากับอายุ ๒-๓ ชั่วคน จะมีหลัก
ประกันอย่างไรว่าที่ดินแปลงนั้นๆ จะไม่ตกเป็นของผู้ถือครอง เพราะอาจจะเกิดการเขียนระเบียบหรือแม้แต่กฎหมายขึ้นมาในภายหลัง จนกระทั่งผู้ถือครอง สามารถจะซื้อผืนแผ่นดินนั้นได้เลย หรือถือครองอย่างยาวนานจนเปรียบเสมือนเป็นเจ้าของที่ดินนั้น จนเกิดชุมชนต่างชาติขนาดใหญ่เป็นหย่อมๆ อยู่ทั่วประเทศ ด้วยอำนาจเงินอิทธิพล หรือเส้นสาย นักการเมือง จนเสมือนว่าต่างชาติได้แผ่นดินผืนนั้นไปจากไทยโดยเรียบร้อยแล้ว
หากย้อนกลับมามองถึงเรื่องผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น ก็จะพบว่าผู้ที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดของการให้ซื้อคอนโดฯหรือห้องชุดก็ดีหรือการถือครองแผ่นดินเป็นระยะยาวนานก็ดี ก็คือเจ้าของธุรกิจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ๆ นั่นเอง ไม่ใช่ประเทศชาติอย่างแน่นอน
รัฐบาลต้องเปิดใจกว้าง ยอมรับฟังข้อตำหนิติเตียนของการจัดทำเรื่องดังกล่าว เพราะอาจมีความเกี่ยวโยงกับผู้บริหารรัฐบาลชุดปัจจุบัน หรือนักการเมืองใหญ่ๆ ซึ่งเคยเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของประเทศมาก่อน โดยไม่อาจปฏิเสธสายสัมพันธ์ที่มีอยู่อย่างแน่นอน
ใครก็ตามที่เข้ามาบริหารประเทศ ต้องตระหนักเสมอว่าการบริหารนั้น ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง มิใช่เพื่อส่วนตนหรือพวกพ้อง และต้องไม่ดำเนินการใดๆ ที่มีลักษณะที่เทียบเคียงได้กับการเสียแผ่นดิน ซึ่งพระมหากษัตริย์ในอดีตได้ต่อสู้เพื่อปกปักรักษาไว้ให้กับชนในชาติได้เกิดและอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ด้วยความภาคภูมิใจว่าเป็นแผ่นดินของบรรพบุรุษ มิใช่เป็นแผ่นดินของชาวต่างชาติ และการเสียแผ่นดินจะโดยทางอ้อมหรือทางตรงก็แล้วแต่ ถึงแม้จะเกิดขึ้นทีละน้อย ก็เป็นสิ่งที่ชาวไทยรักชาติทั้งหลายไม่อาจยอมรับได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี