โครงการ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” เป็นโครงการที่มีหลักคิดน่าสนใจ
หากดำเนินการอย่างโปร่งใส ต่อรองเพื่อให้ได้ปุ๋ยคุณภาพดี ราคาถูก นำมาขายให้ชาวนา ในราคาที่ชาวนาจ่ายเงินค่าปุ๋ยแค่ครึ่งเดียว (อีกครึ่งรัฐบาลออกเงินให้) ย่อมจะเกิดประโยชน์
ลดต้นทุนค่าปัจจัยการผลิตของชาวนา
และประการสำคัญ จะเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพิ่มรายได้ของชาวนาโดยรวมต่อไปด้วย
แต่จุดที่กระทรวงเกษตรฯ และรัฐบาลต้องระมัดระวัง คือ การเจรจาและคัดเลือกพ่อค้าปุ๋ยเอกชนเข้าร่วมโครงการ จะต้องไม่ให้เกิดข้อครหาทั้งในทางกีดกัน หรือเรียกรับผลประโยชน์ใดๆ
จะทำอย่างไรให้เกิดความเชื่อมั่น โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ
บทเรียนกรณีจัดซื้อปุ๋ยอินทรย์เมื่อปี 2545 ควรเป็นอุทาหรณ์เตือนสติสำคัญ
เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2559 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย (จำเลยที่ 1) และนายวิทยา เทียนทอง อดีตเลขานุการ รมว.เกษตรฯ (นายชูชีพ) อดีต สส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย (จำเลยที่ 2)
จำคุกคนละ 6 ปี
สืบเนื่องจากระหว่างวันที่ 17 ก.พ. 2544 ถึงวันที่ 20 ก.ย. 2545 ร่วมกันทุจริตจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกระทรวงเกษตรฯ จำนวน 140,637,880 กิโลกรัม วงเงิน 407,849,852 บาท
บทเรียนเตือนสติ ประเด็นสำคัญในคำพิพากษา สรุปดังนี้
1. องค์คณะผู้พิพากษา เห็นว่า สำนวนการสืบสวนสอบสวนของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน และสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังกล่าว มีการสอบสวนพยานหลักฐานโดยละเอียดถี่ถ้วน เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542
จากพยานหลักฐานดังกล่าว มีความเชื่อมโยงให้เห็นถึงข้อพิรุธหลายประการว่า
การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ในครั้งนี้มีความผิดปกติส่อไปในทางไม่สุจริต มีการดำเนินคดีกับนักการเมือง นิติบุคคลผู้ประกอบธุรกิจ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตร ในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542
เกษตรกรส่วนใหญ่ ต้องการความช่วยเหลือเป็นปุ๋ยเคมี แต่มีการเปลี่ยนแปลงความช่วยเหลือเกษตรกรเป็นปุ๋ยอินทรีย์ โดยการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งเดียวเป็นจำนวนมากถึง 140,637,880 กิโลกรัม
ด้วยการรวบรวมความช่วยเหลือหลายภัย มาดำเนินการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ในคราวเดียวที่ส่วนกลาง ประกอบด้วย ภัยจากกรณีฝนทิ้งช่วง อุทกภัยจากร่องความกดอากาศต่ำ อุทกภัยจากพายุดีเปรสชั่นอุซางิ และภัยแล้งปี 2545 ทำให้ต้องมีการจัดซื้อจำนวนมาก ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
การรวมจัดซื้อที่ส่วนกลาง จำนวนมากเช่นนี้ ทำให้ผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตที่จะเข้าเสนอราคาจะต้องวางเงินประกันตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ข้อ 142 ซึ่งกำหนดให้ผู้เสนอราคาต้องวางหลักประกันซองร้อยละห้า โดยการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้ต้องวางหลักประกันซอง เป็นเงิน 20,400,000 บาท ทำให้ผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการที่มีความพร้อมด้านการเงินสูงเท่านั้นที่สามารถเข้าเสนอราคาได้ ส่งผลให้มีผู้เข้าแข่งขันน้อยราย
คณะอนุกรรมการไต่สวนได้สอบปากคำผู้ประกอบการที่ซื้อซองประกาศประกวดหลายรายให้ถ้อยคำว่า ไม่สามารถยื่นเสนอราคาได้ เพราะเหตุไม่สามารถหาหลักประกันซองได้ นอกจากนี้ การรวมจัดซื้อปริมาณมากๆ เช่นนี้ ย่อมก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดการทุจริตในขั้นตอน หรือกระบวนการจัดซื้อได้ง่าย
สำหรับขั้นตอนการกำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ มีการกำหนดให้ผู้มีสิทธิเสนอราคาต้องมีผลงานการจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ที่เป็นคู่สัญญาโดยตรงกับส่วนราชการหรือหน่วยงานรัฐวิสาหกิจภายใต้สัญญาเดียวในวงเงินไม่น้อยกว่า 10,000,000 บาท ทำให้มีผู้ผลิตปุ๋ยทั้งระบบที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ ที่กำหนดเพียง 7 ราย จึงเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อจำกัดผู้มีสิทธิเสนอราคาให้น้อยลง
นอกจากนี้ การจัดซื้อครั้งนี้ยังมีข้อกำหนดว่า ผู้เสนอราคาต้องมีสต๊อกปุ๋ยอินทรีย์ชนิดเดียวกับที่ยื่นซองเสนอราคาจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนปุ๋ยอินทรีย์ที่จะจัดซื้อทั้งหมด
ข้อเท็จจริง ได้ความจากการไต่สวนว่า ไม่มีผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์รายใดมีจำนวนสต๊อกปุ๋ยอินทรีย์มากถึงร้อยละ 50 หรือ 70,318,940กิโลกรัม แม้แต่รายเดียว จึงเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การเสนอราคาที่ไม่สมเหตุผล และไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
การจัดซื้อในครั้งนี้มีวงเงินสูง หากกำหนดร้อยละ 10 ของวงเงินจัดซื้ออาจจะไม่มีผู้เสนอราคา จึงปรับลดลงเหลือร้อยละ 2.5 ของวงเงินจัดซื้อ
แต่ยังคงกำหนดเงื่อนไขของการจัดซื้อในครั้งเกิดเหตุว่า ผู้เสนอราคาต้องมีสต๊อกปุ๋ยอินทรีย์ชนิดเดียวกับที่ยื่นซองเสนอราคาจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนที่จะจัดซื้อ ซึ่งขัดแย้งกันเองกับเหตุผลที่ปรับลดในเรื่องผลงาน
เมื่อพิจารณาถึงกระบวนการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ในครั้งเกิดเหตุ มีความผิดปกติและส่อพิรุธหลายประการ
2. คำพิพากษาชี้ชัด พฤติการณ์สำคัญ
สรุปข้อเท็จจริงได้ความว่า การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกรมส่งเสริมการเกษตร มีการกำหนดเงื่อนไขในการประกวดราคาที่ไม่เหมาะสมหลายประการ เช่น
กำหนดให้ผู้เสนอราคา ต้องมีสต๊อกปุ๋ยอินทรีย์จำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนที่จะจัดซื้อซึ่งมีปริมาณมาก
การจัดซื้อปริมาณมากที่ส่วนกลางต้องมีเงินประกันสูง
การกำหนดให้ผู้เสนอราคาต้องมีผลงานจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ที่เป็นคู่สัญญาโดยตรงกับส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐภายใต้สัญญาเดียว ในวงเงินจำนวนไม่น้อยกว่า 10,000,000 บาท
อันมีลักษณะเป็นการกีดกันผู้เสนอราคารายย่อยและเอื้ออำนวย แก่ผู้เข้าทำการเสนอราคาที่มีความสามารถในการรวบรวมปุ๋ยอินทรีย์และมีเงินทุนในการดำเนินกิจการสูง
ส่งผลให้มีผู้เข้าร่วมเสนอราคาน้อยราย
จากผู้สนใจเข้าซื้อเอกสารประกวดราคา จำนวน 24 ราย มีคุณสมบัติตามประกาศประกวดราคาจำนวนเพียง 5 ราย และมีผู้ยื่นซองเสนอราคาจำนวนเพียง 3 ราย
โดยเสนอราคาใกล้เคียงกันมีลักษณะของการสมยอมราคาหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม และผลการประกวดราคาก็ปรากฏว่ามี ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด เป็นผู้เสนอราคาที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์เพียงรายเดียว โดยเงื่อนที่กำหนดในการประกวดราคาจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์อันเป็นเหตุให้ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด เป็นผู้ชนะการประกวดราคาเพียงรายเดียว
และปรากฏว่า มีการร้องเรียนและทักท้วงจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นมีความเห็นว่า การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าวน่าเชื่อว่า มีข้อพิรุธ และความไม่เหมาะสมหลายประการ ขอให้ระงับการทำสัญญาซื้อปุ๋ยอินทรีย์
จำเลยที่ 1 ไม่ทำการตรวจสอบอย่างจริงจังเพื่อแก้ไขข้อพิรุธ แต่กลับมีพฤติการณ์ไปในทางอำนวยให้เกิดผลต่อการทำสัญญาซื้อขายปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้
จำเลยทั้งสองประวิงเวลาให้ล่าช้า จนกรมส่งเสริมการเกษตรลงนามในสัญญาซื้อขายปุ๋ยอินทรีย์แล้ว จึงมาลงนามรับทราบหนังสือของประธานอนุกรรมาธิการเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2545
จำเลยทั้งสองไม่ได้ดำเนินการอย่างใดเพื่อให้มีการยกเลิกสัญญาซื้อขายปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าว
องค์คณะผู้พิพากษา จึงมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10
ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
พิพากษา ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 6 ปี
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี