บ้านเมืองกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจ แต่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีเดินสายออกต่างจังหวัดสร้างภาพอย่างขยันขันแข็ง ให้ชาวประชาเห็นว่า “ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย”
ขนาดว่าแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าอย่างพระครูมนูญ ธรรมโสภิต เจ้าคณะตำบลขามเฒ่า เจ้าอาวาสวัดหนองพอง ตำบลขามเฒ่า อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา ยังชื่นชมนายเศรษฐา ทวีสิน ระหว่างสนทนากับนายเศรษฐาเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในวาระที่นายเศรษฐาไปติดตามโครงการระบบผลิตน้ำประปาขนาดใหญ่อำเภอโนนสูง และได้เข้าไปนมัสการพระครูมนูญรูปนี้
พระครูมนูญ ได้กล่าวกับนายเศรษฐา ทวีสิน ว่า“ได้เห็นจากข่าวว่า ทำงานทุกเสาร์-อาทิตย์ และมีการดำเนินการในหลายๆ โครงการ” และพระครูมนูญได้มอบพระพุทธรูปหลวงพ่อพรหมสร (รอด) วัดบ้านไพ อำเภอโนนสูงเป็นพระพุทธรูปที่ชาวเมืองโคราชและจังหวัดใกล้เคียงศรัทธาเลื่อมใส ซึ่งมีพุทธคุณเป็นที่ลือเลื่องด้านแคล้วคลาดและคงกระพันชาตรี
ปัญหาบ้านเมืองทุกวันนี้ไม่ได้อยู่ในภาวะสงคราม นายเศรษฐา ทวีสิน ได้พระพุทธรูปองค์นี้ไปก็ไม่ได้คุ้มครองหรือช่วยอะไรให้ดีขึ้น เพราะบ้านเมืองของเราเวลานี้ อยู่ในภาวะที่เศรษฐกิจกำลังถดถอย ข้าวของแพงทั้งแผ่นดิน ชาวประชาเงินทองฝืดเคือง ประชาชนที่มีรายได้ประจำจากเงินเดือนค่าจ้างในภาคเอกชน รวมทั้งข้าราชการและพนักงานลูกจ้างในภาครัฐ ยังพอประคองตัวได้
แต่ประชาชนทั่วไปที่มีอาชีพอิสระ-หาเช้ากินค่ำ เดือดร้อนอย่างแสนสาหัส นับวันจะมีแต่อดตาย อดตายภายใต้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่หาเสียงเอาไว้ว่า “ประเทศไทยต้องไปต่อ จะทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี”—ด้วยคำขวัญ“คิดใหญ่-ทำเป็น”
หากไม่ลืมกัน ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง--“อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน ซึ่งเป็นดีเอ็นเอของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ได้เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ ณ อิมแพคอารีนา เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 โดยแปะป้ายคำโตว่า“เลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์ประเทศไทยเปลี่ยนทันที” อุ๊งอิ๊งที่เวลานั้นสวมหมวกหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยและเป็นหนึ่งในสามแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย สวมเสื้อแดงตะโกนเสียงดังฟังชัดบนเวทีแบบเส้นเลือดเส้นเอ็นที่คอปูดโปนว่า
“ร่วมกันปิดสวิตซ์ ส.ว. ปิดสวิตช์ 3 ป. เพื่อทำให้คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ขอให้ช่วยพาพรรคเพื่อไทยเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาล”
เอาเข้าจริงภายหลังเลือกตั้ง, พรรคเพื่อไทยก็ทำไม่ได้สักเรื่องเดียว มิหนำซ้ำยังกลืนน้ำลายลงคอ แบบ“ถ่มน้ำลายรดฟ้า” นอกจากจะปิดสวิตซ์ สว.ไม่ได้แล้ว ก็ยังต้องพึ่งพาเสียงสว.ของ“3 ป.”ในการยกมือโหวตให้นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกันยังต้องดึงพรรคการเมืองที่เคยร่วมรัฐบาลและเป็นพรรคการเมืองของ“3 ป.”มาร่วมจัดตั้งรัฐบาล
และเรื่องสุดท้ายที่ว่า “เพื่อทำให้คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” ซึ่งอีกหนึ่งเดือนก็จะครบหนึ่งปีที่รัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยเข้ามาบริหารประเทศ ก็ปรากฏว่า คนไทยมีกินมีใช้ในทุกวันนี้ได้ก็เพราะ “กินบุญเก่า”ที่รัฐบาล“3 ป.”ทำเอาไว้ และเวลานี้ก็ใกล้จะหมดลมหายใจอยู่เต็มทน
ไปหยั่งเสียงจากประชาชนในโลกออนไลน์ที่รัฐบาลควรจะต้องฟัง โดยเฉพาะนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่หน้ายิ้มระรื่นเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจระหว่างเดินสายออกต่างจังหวัด แล้วพบกับมวลชนจัดตั้งของพรรคเพื่อไทยที่ชูป้ายเอออวยเยินยอ พร้อมกับรับรู้รับฟังแต่เรื่องที่สวนทางกับความเป็นจริงที่ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ในประเทศนี้กำลังเผชิญอยู่
ประชาชนในโลกออนไลน์เขาพูดกันอย่างนี้-ลองฟังดู
คนหนึ่งว่า “หุ้นตก ข้าวขายไม่ออก คนตกงาน ตลาดเงียบสนิท ฝีมือเริ่ดมาก อยู่นานๆ นะ”
อีกคนหนึ่งว่า ”ทุกอย่างตกหมด แต่ยังดีที่ไฟฟ้ากับน้ำมันขึ้นครับ”
อีกคนว่า “ถ้าหากเศรษฐกิจเป็นแบบนี้ ขืนรัฐบาลชุดนี้อยู่นานต่อไปไม่ดีแน่ ไปคุยกับใคร เขาก็บ่นกันแต่ว่า ของแพงมากๆ จะไม่ไหวกันอยู่แล้ว”
คนที่สี่เป็นเจ้าของร้านขายอาหาร--บ่นด้วยเสียงท้อแท้ว่า “ร้านผมเงียบสนิท ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อนเลยครับ”
คนที่ห้าประชดประเทียดว่า “ซอฟ เพาเวอร์-ผ้าขาวม้า คงช่วยได้มั้ง”
คนนี้เหลืออดถึงกับบอกว่า “ต้องกล่าวโทษผู้ที่เลือก‘คนหรือพรรค’นี้เข้ามาบริหารประเทศ เพราะว่าร่วมกันสนับสนุนส่งคนให้มาสร้างความเดือดร้อนแก่ปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ”
รายนี้ว่า “ยุคนี้-หวังพึ่งของแจกโรงทาน แต่แจกเงินดิจิทัล ไม่อยากได้ อยากได้เงินสดมากกว่า”
รายนี้แรงหน่อยพุ่งตรงไปที่นายเศรษฐา ทวีสิน โดยตรง เพราะลูกสาวนายเศรษฐาถือหุ้นใหญ่บริษัทนี้อยู่ “คอนโดแสนสิริขายกำไรอยู่นะ แต่ภาคส่วนอื่นเจ๊งต่อเนื่อง--แล้วจะโทษใคร?”
ส่วนรายนี้ก็น่าสนใจ--คงจำเรื่อง“ต้มยำกบ”ที่ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เคยยกเรื่องต้มยำกบมาเปรียบเทียบกับปัญหาเศรษฐกิจของประเทศถดถอย และจำเป็นที่รัฐบาลต้องนำโครงการแจกเงินดิจิทัลออกมาแก้ปัญหา โดยให้ความเห็นว่า ”เวลานี้เราไม่ได้เข้าสู่ยุคฟองสบู่ยุคต้มยำกุ้งนะคะ เหมือนเราเข้าสู่ยุคต้มกบ จับกบใส่ในหม้อน้ำเย็นแล้วปิดปากหม้อ ค่อยๆ เปิดไฟ น้ำเริ่มอุ่นไปจนร้อน กบมันก็จะนอนตายอยู่ก้นหม้อ พวกเราต้องลุกขึ้นมากันได้แล้วก่อนที่พวกเราจะเป็นกบ”
และรายนี้แสดงความเห็นโดยไม่อ้อมค้อมว่า “ถ้ารัฐบาลชุดนี้อยู่นาน สงสัยคนคงตายกันเยอะ”
สำหรับคนสุดท้ายมีชื่อเป็นที่รู้จัก คือ รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ และอดีต สว. ได้เผยแพร่บทความเรื่อง "รัฐบาลเศรษฐา : บริหารเศรษฐกิจหรือธุรกิจ" เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ขอยกบางส่วนมา ณ ที่นี้--โดย ดร.เจิมศักดิ์ชี้ว่า “นักบริหารธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง ไม่จำเป็นต้องบริหารเศรษฐกิจได้ดีเสมอไป เพราะเงื่อนไขแตกต่างอย่างมาก โดยเฉพาะนักธุรกิจที่คุ้นเคยประสบความสำเร็จจากการผูกขาด วิ่งเต้นเกาะอำนาจรัฐ หลีกเลี่ยงซิกแซ็กไม่จ่ายภาษี และใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่พรรคพวก”
บรรทัดนี้ผมไม่ขอสรุป-แต่อยากให้ท่านผู้อ่านได้พินิจพิจารณากันเองว่า ปัญหาของบ้านเมืองในเวลานี้ เป็นไปอย่างที่ชาวประชาในโลกออนไลน์เขาพูดกันให้อื้ออึงดังที่ยกมาหรือไม่ ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี