ประเด็นร้อนระอุ ว่าด้วยเรื่องนายชาญ พวงเพ็ชร์ ผู้ชนะเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เพราะมีคดีทุจริตประพฤติมิชอบอยู่ในชั้นศาล
กรณีนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร? ใครจะทำหน้าที่แทน? ใครจะต้องรับผิดชอบ ?
“ลุงชาญใจดี” สู้อุตส่าห์กลับมาทวงชัยชนะในสนามเลือกตั้ง แต่ “กรรมเก่า”ที่เป็นคดีทุจริตประพฤติมิชอบกลับยังตามหลอกหลอน
เสมือน “บุญมี แต่กรรมบัง”
ทักษิณและพรรคเพื่อไทย ออกหน้าช่วยหาเสียงเต็มที่ ต่างอะไรกับการ “เอาสินค้ามีตำหนิ” มาขายให้คนปทุมธานีหรือไม่? จะรับผิดชอบอย่างไร?
1. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นว่า นายชาญไม่ได้อยู่ในตำแหน่ง ศาลจึงไม่ได้มีคำสั่งอะไรออกมา ถือว่าจบไป ส่วนหนังสือเวียนของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ออกมานั้น ถือเป็นเพียงความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา อย่างไรก็ตาม การที่นายชาญจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม ต้องศาลสั่งเท่านั้น มันไม่ได้เป็นไปตามอัตโนมัติอย่างที่กังวลใจกันอยู่
“เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ เป็นสถานการณ์ใหม่ในการดำเนินการ ดังนั้น นายชาญก็ยังมีสิทธิ์ เพราะตอนสมัครยังไม่ขาดคุณสมบัติ ตอนนี้ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ จึงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่ต้องปล่อยให้เป็นไปตามข้อกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ปัจจุบันยังไม่มีข้อกฎหมายใดบังคับ ห้าม และยังไม่มีการสั่งจากศาลที่มีผลต่อการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของศาล” - นายภูมิธรรมกล่าว
สื่อมวลชนถามว่า ประเด็นนี้ทางพรรคได้ทราบก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใช่หรือไม่?
นายภูมิธรรมตอบว่า เรื่องนี้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าดำเนินการ เลือกใครมาก็คงเลือกดีแล้ว แต่รายละเอียดส่วนตัวไม่ทราบ เพราะไม่ได้เข้าไปอยู่ในพรรคมากคงต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ
2. กรรมเก่า คดีทุจริตประพฤติมิชอบ
ที่เป็นเรื่องก็เพราะว่า
(1) คดีตั้งแต่สมัยเป็นนายก อบจ. 2555
ก่อนหน้านี้ นายชาญ พวงเพ็ชร์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายก อบจ.ปทุมธานี และพวก ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดเกี่ยวกับการจัดซื้อถุงยังชีพเมื่อปี พ.ศ.2555
ปัจจุบัน ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีคำสั่งประทับฟ้องคดีนี้แล้วและคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอาญาฯ
เมื่อวันที่ 11 ม.ค.2567 ช่วงต้นปี นายชาญ พวงเพ็ชร์ และพวกได้เดินทางไปรายงานตัวเพื่อส่งฟ้องคดีทุจริตถุงยังชีพดังกล่าว พร้อมยื่นขอประกันตัว โดยใช้โฉนดที่ดินเป็นหลักทรัพย์ประกันตัว ก่อนที่ศาลฯ จะมีการนัดไต่สวนสืบคดีในช่วงกลางเดือน ก.ค.2567 นี้เอง
ขณะนี้ นายชาญยังถือเป็นจำเลยคดีทุจริตประพฤติมิชอบ คดีอยู่ในศาลปราบโกง โดยยังไม่ถูกพิพากษาว่าเป็นผู้กระทำผิดแต่อย่างใด
(2) ทำไมต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่?
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา ได้เผยแพร่ความเห็นทางกฎหมายตอบข้อหารือกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การหยุดปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561
สาระสำคัญระบุว่า เมื่อศาลคดีอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้ประทับรับฟ้องในคดีอาญาที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดผู้บริหารท้องถิ่นแล้ว ผู้บริหารท้องถิ่นต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 93 อันเป็นการหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยผลของกฎหมาย ไม่ว่าผู้ถูกกล่าวหาจะพ้นจากตำแหน่งและกลับมาดำรงดำแหน่งเดิมใหม่ โดยผู้กำกับดูแลมิต้องมีคำสั่งอีก แต่ผู้กำกับดูแลมีหน้าที่จะต้องดูแลให้มีการหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) พิจารณาแล้ว เห็นว่า การที่มาตรา 93 ประกอบกับมาตรา 81 กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ เจตนารมณ์ประการหนึ่งก็เพราะว่าในกรณีที่ศาลพิพากษาว่าผู้นั้นกระทำความผิดจะมีผลทำให้บุคคลนั้นหมดสิทธิที่จะสมัครรับเลือกตั้งหรือเข้าดำรงตำแหน่งนั้นอีกต่อไป การให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการยุติความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลัง ดังนั้น ไม่ว่าผู้ถูกกล่าวหาจะพ้นจากตำแหน่งและกลับมาดำรงดำแหน่งเดิมใหม่ในอีกวาระหนึ่ง จึงมิได้ทำให้การต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามผลของกฎหมายเปลี่ยนแปลงไป นอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้ว ยังเป็นการป้องกันมิให้มีการใช้อำนาจหรือการสั่งการใดๆ ที่อาจมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมายได้
(3) เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ยัน ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่
เมื่อวานนี้ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ตอบคำถามผู้สื่อข่าว
นักข่าวถามว่า กรณีนายชาญจำเป็นต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่?
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ตอบว่า เมื่อไหร่ที่เข้ารับหน้าที่ก็ต้องหยุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อเข้ารับตำแหน่งต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีหรือไม่?
นายปกรณ์ กล่าวว่า ใช่ เพราะวัตถุประสงค์ของคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ให้เหตุผลทุกกรณีไว้ว่าหากถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่โดยป.ป.ช.ชี้มูล และมีคำถามว่าระหว่างนั้น ผู้ถูกกล่าวหาพ้นตำแหน่งแล้วกลับเข้ามาทำหน้าที่ใหม่จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ซึ่งโดยตรรกะต้องหยุด เพราะไม่ต้องการให้ยุ่งเหยิงกับคดีที่ผ่านมา และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นหลักกฎหมายปกติ
เมื่อถามว่า กรณีดังกล่าวถือว่าต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยอัตโนมัติโดยที่ไม่ต้องมีหน่วยงานใดมาชี้ใช่หรือไม่?
นายปกรณ์ กล่าวว่า ไม่ต้องมีหน่วยงานใดมาชี้ เพราะเป็นไปตามผลของกฎหมายอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า นายชาญมีสิทธิ์ไม่เชื่อความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือไม่?
นายปกรณ์ กล่าวว่า หากนายชาญไม่เชื่อ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) จะเป็นคนชี้ เพราะมีอำนาจหน้าที่ในการดูแลเรื่องของการเข้าสู่ตำแหน่ง การดำรงตำแหน่ง และการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้น สถ. จึงเป็นผู้มีคำสั่งดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป
(4) สถ.เคยทำหนังสือแจ้งเวียนผู้ว่าทั่วประเทศ/นอภ.แล้ว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2567 กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น (สถ.) ได้ทำหนังสือแจ้งเวียนผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดผู้บริหารท้องถิ่นรองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น หรือ สมาชิกสภาท้องถิ่น แล้วส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีอาญา หากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้มีคำสั่งประทับรับฟ้อง หรือได้มีคำพิพากษาในคดีอาญาตามมติชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้วแต่คดียังไม่ถึงที่สุดเป็นทางการไปแล้ว
โดยระบุ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอในฐานะผู้กำกับดูแลตามกฎหมาย พิจารณากำชับให้บุคคลดังกล่าวหยุดปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด บุคคลใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามหรือจงใจปกปิดข้อเท็จจริงไม่รายงานการถูกฟ้องคดีอาญา หรือไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ อาจเข้าข่ายเป็นการประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อย ซึ่งนายอำเภอหรือ ผู้ว่าราชการจังหวัดอาจดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน แล้วรายงานผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาสั่งให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่งได้
ในหนังสือ สถ. ระบุว่า ด้วยปรากฏข้อเท็จจริงว่า กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดผู้บริหารท้องถิ่นรองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น แล้วส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีอาญากับบุคคลดังกล่าว และศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้มีคำสั่งประทับฟ้องแล้ว บุคคลดังกล่าวไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 81 ประกอบมาตรา 93 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
อีกทั้งมีการปกปิดข้อเท็จจริงไม่รายงานผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอ ในฐานะผู้กำกับดูแลตามกฎหมายทราบ ประกอบกับคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีความเห็นตามเรื่องเสร็จที่ 1486/2565 กรณีผู้ถูกกล่าวหาซึ่งถูกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้ประทับฟ้องในคดีอาญาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดโดยที่ผู้ถูกกล่าวหาได้พ้นจากต่ำแหน่งเดิมไปแล้วและอยู่ระหว่างการดำรงตำแหน่งเดิมในวาระใหม่ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยผลของมาตรา 93 ประกอบมาตรา 81 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นขอเรียนว่า เพื่อให้การหยุดปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารท้องถิ่นรองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น เป็นไปตามบทบัญญัติกฎหมายประกอบความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่1486/2565 ข้างต้น จึงแจ้งแนวทางปฏิบัติ กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น แล้วส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีอาญา หากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้มีคำสั่งประทับฟ้อง หรือได้มีคำพิพากษาในคดีอาญาตามมติชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้วแต่คดียังไม่ถึงที่สุด ให้ดำเนินการ ดังนี้
“1. ให้บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องรายงานให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอในฐานะผู้กำกับดูแลตามกฎหมายทราบโดยด่วน ตามนัยหนังสือกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ น.826/2582 ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2482
2. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอในฐานะผู้กำกับดูแลตามกฎหมาย พิจารณากำชับให้บุคคลดังกล่าวหยุดปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด
3. บุคคลใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามหรือจงใจปกปิดข้อเท็จจริงไม่รายงานการถูกฟ้องคดีอาญาตามข้อ 1 หรือไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ตามข้อ 2 อาจเข้าข่ายเป็นการประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อย ซึ่งนายอำเภอ หรือ ผู้ว่าราชการจังหวัด อาจดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน แล้วรายงานผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาสั่งให้บุคคลดังกล่าวพันจากตำแหน่งได้ ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 77 และมาตรา 79 พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73 และมาตรา 73/1 และพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 90/1 และมาตรา 92”
3. ใครจะทำหน้าที่แทนนายชาญ?
เรื่องนี้ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องเข้าไปจัดการ
โดยปกติ น่าจะเป็น “ปลัดอบจ.ปทุมธานี” ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ
อย่างไรก็ตาม ถ้าย้อนกลับไปดูมติ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนายชาญนั้น เป็นมติเอกฉันท์ 9 เสียง คดีจัดซื้อถุงยังชีพช่วยน้ำท่วม ช่วงปี 2554
ระบุว่า ผิดมาตรา 151,157,162 (1), (4) (ป.ป.ช.ฟ้องเอง ขณะนี้ คดียังอยู่ในชั้นศาล ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์)
นอกจากนี้ ยังมีปมเคยถูก สตง.ตรวจสอบเรื่องเครื่องออกกำลังกายค้างอยู่ด้วย
ติดตามชะตากรรมของ “ลุงชาญใจดี” แบบนี้ จะเข้าข่าย “บุญมี แต่กรรมบัง” หรือเป็น “สินค้ามีตำหนิ” ที่ถูก พรรคเพื่อไทย เสนอขายให้คนปทุมธานี?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี