บทความนี้กำหนดให้เป็นบทความที่ต่อเนื่องจากบทความว่าด้วยเรื่อง แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองซึ่งลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์แนวหน้าฉบับวันพุธที่ 8 พฤษภาคม 2567 ด้วยว่าในบทความดังกล่าวได้ปรารภเกี่ยวกับความเสื่อมโทรมของศีลธรรมในสังคมไทยในปัจจุบัน ดังเห็นได้จากการแสดงความนึกคิดทางวาจา และข้อเขียน โดยผู้ที่อยู่ในแวดวงการเมืองและแวดวงข้าราชการประจำ ที่มักเต็มไปด้วยโวหาร ขาดความซื่อตรง และขาดความจริงใจ อีกทั้งการปฏิบัติหน้าที่ก็มักจะเต็มไปด้วยการบิดเบือนกฎหมาย กฎเกณฑ์กติกา เพื่อหาประโยชน์เข้าตน หรือนัยหนึ่งการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งแสดงว่าผู้ที่อาสาเข้ามารับใช้บ้านเมืองต่างขาดและไม่แยแสต่อหลักหิริโอตตัปปะ ไม่มีความละอาย และไม่เกรงกลัวบุญและบาปแต่อย่างใด และแม้กระทั่งเมื่อถูกจับได้ว่ากระทำผิด ก็จะมีขบวนการปกป้องคุ้มครอง ช่วยเหลือกันเอง พร้อมกับหวังว่าในที่สุดเรื่องต่างๆ ก็จะจืดจางหายไป และไม่อยู่ในสายตาของสาธารณชนอีกต่อไป ซึ่งหนทางแก้ไขทางหนึ่งที่พอจะทำได้ ก็คือการรณรงค์ในเรื่องศีล 5 ในสังคมไทยเป็นการทั่วไป
แต่บทความนี้ก็มุ่งประสงค์ที่จะพินิจพิจารณาดูว่า จะดำเนินการเจาะลึกเพื่อให้มีการตระหนักและส่งเสริมการปฏิบัติในเรื่องธรรมาภิบาล ไปยังองค์กรใดบ้างในสังคมไทย ซึ่งก็มีคำถามตามมาว่ากี่หน่วยงานหรือองค์กรไทยใดบ้างที่มักจะมีข่าวคราวครึกโครมออกมาเกี่ยวกับการใช้อำนาจโดยมิชอบ และการทุจริตในหน้าที่การงาน
คำตอบแรกๆ ก็คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติหน่วยงานในกองทัพไทยต่างๆ หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ในสังกัดของกรมการปกครองและกรมการปกครองท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เช่น สำนักงานงบประมาณ กรมบัญชีกลาง และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เป็นต้น
ฉะนั้นการ “ติวเข้ม” กับบรรดาข้าราชการและพนักงานต่างๆ เหล่านี้ จึงน่าจะเป็นเป้าหมายลำดับแรกของการนำเอาหลักหิริโอตตัปปะ และหลักธรรมาภิบาลเข้ามาเป็นเนื้อในหรือชีวิตจิตใจของการทำงานทำการตามหน้าที่ เพื่อรับใช้สังคมและประชาชนพลเมือง
ทั้งนี้การฝึกอบรมบ่มเพาะก็คงจะต้องดำเนินการใน 2 ระดับคือ ที่ระดับสถาบันการศึกษา เช่นที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน โรงเรียนทหาร 3 เหล่าทัพ โรงเรียนในสังกัดกรมการปกครอง โครงการฝึกอบรมข้าราชการแรกเข้าโดยสำนักงานข้าราชการพลเรือน เป็นต้น
ทั้งนี้ก็ต้องมีการปรับปรุงกฎเกณฑ์กติกา รวมทั้งการออกใบอนุญาต และการอนุมัติต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้หลักดุลยพินิจ หรือยกเลิกหลักดุลยพินิจ ไปให้หมดสิ้นจากแวดวงราชการ เป็นต้น ซึ่งในการนี้ระบบ “ส่งส่วย” ก็จะต้องมีการรณรงค์บ่มเพาะกันอย่างกว้างขวางจริงจัง เพื่อมิให้เกิดขึ้นได้อีกต่อไป
ส่วนระบบ “ศักดินา” ในแวดวงกองทัพก็ต้องมีการเรียนรู้และปลูกฝังให้ปฏิเสธ โดยเฉพาะการให้ความเคารพต่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของทหารเกณฑ์ และทหารชั้นผู้น้อย ทั้งในการปฏิบัติระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ไปจนถึงการจัดทำระเบียบกฎเกณฑ์ที่มีนัยของการหักค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อนำมาเป็นกองกลางให้กับส่วนเหนือ
ส่วนในระดับการปกครองท้องถิ่นต่างๆ นั้น ก็ควรมีการยกเลิกการใช้งบประมาณ เพื่อการดูงาน การไปทัศนศึกษา ไปจนถึงการว่าจ้างพนักงานที่จะต้องไม่ตกอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ วงศาคณาญาติและจะต้องเปิดโอกาสให้ “ลูกบ้าน” ได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจในโครงการที่เกี่ยวกับการบริการสาธารณะต่างๆ เพื่ออำนวยให้การใช้งบประมาณต่างๆ นั้น จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของลูกบ้านอย่างแท้จริง มิใช่วิถีทางของการนำเงินเข้ากระเป๋าตน
ทั้งนี้ ฝ่ายข้าราชการประจำและฝ่ายผู้บริหารทางการเมืองต่างก็ต้องอยู่ในบริบทของการตรวจสอบโดยรัฐสภาและองค์กรอิสระที่มีนัยของอำนาจตุลาการ แต่ก็อาจจะมีการเสริมการควบคุมตรวจสอบคู่ขนานกันไปได้ เช่น การจัดตั้งสภาประชาชนในเรื่องกิจการตำรวจในระดับจังหวัดได้ เป็นต้น
นอกจากนั้นก็คงต้องมีการปฏิรูปปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ความยุติธรรมกลับมา และดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว เพราะความล่าช้าก็เป็นการเสริมสร้างความไม่ยุติธรรม และความล่าช้าก็เปิดโอกาสให้มีการเข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งหากเร่งกระบวนการยุติธรรมได้แล้ว พร้อมกับการส่งเสริม รณรงค์ในเรื่องหลักธรรมและหลักธรรมาภิบาล แผ่นดินทองของไทยก็จะเป็นแผ่นดินธรรมได้ด้วย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี