ช่วงนี้ ยังอยู่ในฤดูทุเรียน “ราชาผลไม้”
สินค้าเกษตรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบันอย่างมาก
แต่ละปี นำเงินเข้าประเทศจากการส่งออกสูงถึงแสนกว่าล้านบาท
สร้างเงินหมุนเวียนจากการซื้อขาย แปรรูป บริโภคในประเทศมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี
นับเป็นพืชผลการเกษตรที่มีอนาคตและมีศักยภาพสูงมากชนิดหนึ่งของประเทศไทย
1. ตลาดการส่งออกทุเรียนไทยที่สำคัญที่สุด คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน
ปีที่แล้ว 2566 ทุเรียนไทยครองส่วนแบ่งตลาดทุเรียนสดในจีน ร้อยละ 65.15
คิดเป็นปริมาณการนำเข้าทุเรียนสดจากประเทศไทย 928,976 ตัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ว่า การเติบโตต่อเนื่องมีปัจจัยหลักมาจาก “1. ความต้องการบริโภคทุเรียนในตลาดจีนมีมากขึ้นตามความนิยม และ 2.ปริมาณผลผลิตทุเรียนในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นตามพื้นที่เพาะปลูก นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ ได้แก่ การขยายช่องทางการขาย อาทิ ช่องทางออนไลน์และการเพิ่มช่องทางขนส่งทางราง ผ่านรถไฟความเร็วปานกลางจีน-สปป.ลาว ช่วยลดระยะเวลาและเพิ่มความสะดวกในการขนส่งได้มากขึ้น ซึ่งในปี 2566 เริ่มมีการส่งทุเรียนผ่านเส้นทางนี้มากขึ้น โดยคิดเป็น 5.7% ของการส่งออกทุเรียนทั้งหมดไปจีน”
ในปีนี้ 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภาพรวมการส่งออกทุเรียนสดไทยไปจีน อาจอยู่ที่ 4,500 ล้านดอลลาร์ฯ
ขยายตัว 12%YoY ซึ่งเติบโตในทิศทางชะลอลงจากฐานที่สูงในปีก่อน สืบเนื่องจากผลผลิตบางพื้นที่อาจได้รับผลกระทบจากอากาศแปรปรวน แม้ราคาส่งออกอาจขยับขึ้นได้เล็กน้อย
ขณะเดียวกัน ทุเรียนสดจากไทยก็อาจถูกกดดันจากคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ทั้งนี้
2. คู่แข่งในอนาคตของทุเรียนไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ทุเรียนเวียดนามจะมีส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น หลังได้รับอนุญาตจากทางการจีนให้ส่งออกทุเรียนสดอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ มาเลเซียก็ได้รับอนุญาตให้ส่งออกทุเรียนสดไปยังจีนได้ในปีนี้
น่าจะส่งผลต่อส่วนแบ่งตลาดของทุเรียนสดไทยในจีนที่อาจปรับลดลงได้
“ดังนั้น การรักษาคุณภาพของทุเรียนไทยที่ปัจจุบันยังมีความได้เปรียบอยู่ จากรสชาติที่เป็นที่นิยม และความหลากหลายของพันธุ์
จะเป็นกุญแจสำคัญ ท่ามกลางภาวะที่คู่แข่งจากประเทศเพื่อนบ้าน
และกระทั่งในจีนที่กำลังเร่งพัฒนาผลผลิตทุเรียน เพื่อรองรับกับความต้องการบริโภคทุเรียนของชาวจีนที่ยังมีอยู่มากและจะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงข้างหน้า”
-รายงานจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย
3. ข้อมูลจากแฟนเพจ TDA สมาคมทุเรียนไทย ฉายภาพสถานการณ์ตลาดทุเรียนในจีน
ระบุว่า คู่แข่งทุเรียนผลสดของไทยในตลาดจีน ปัจจุบันทุเรียนไทยครองส่วนแบ่งอยู่มากกว่า 65%
ไทยมีพื้นที่ปลูกทุเรียน 1.05 ล้านไร่ และกำลังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มีผลผลิต 1.47 ล้านตัน
แต่ทุเรียนเวียดนาม ได้ส่วนแบ่ง 34% และเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน มีพื้นที่ปลูกทุเรียนในเวียดนาม 6.8 แสนไร่ ผลผลิตประมาณ 8.6 แสนตัน
ส่วนฟิลิปปินส์ ส่วนแบ่งยังน้อยมาก แต่ในฟิลิปินส์ก็มีพื้นที่ปลูกทุเรียนถึง 4.5 แสนไร่แล้ว
ขณะเดียวกัน ในประเทศจีนก็เริ่มปลูกทุเรียนในมณฑลไห่หนาน กวางตุ้ง กวางสี
ในไห่หนาน มีพื้นที่ให้ผลผลิตประมาณ 2,917 ไร่ ผลผลิต 250 ตัน หมอนทองลอตแรกออกมาเมื่อเดือย พ.ค.ที่ผ่านมา โดยข้อได้เปรียบของทุเรียนไห่หนาน คือ สุกบนต้นระยะเวลาจนส่งสั้น ทำให้ขายทุเรียนแก่จัด มีรสชาติหวานมากขึ้น
ในกวางตุ้ง ปี 2566 มีพื้นที่ปลูก 208 ไร่ ใช้ระบบให้ปุ๋ยและน้ำอัจฉริยะ สายพันธุ์หลัก คือ หนามดำ และมูซังคิง
ขณะเดียวกัน ด้านผู้บริโภคทุเรียนภาพรวมในจีน ก็มีการขยายตัวต่อเนื่อง
ที่น่าสนใจ คือ คนรุ่นใหม่ในจีน นิยมบริโภคทุเรียนมากขึ้น ตามกระแสในโลกโซเชียลและนิยมซื้อผ่านออนไลน์มากขึ้น
และคนในเมืองรองของจีน ก็นิยมบริโภคทุเรียนแผ่ขยายออกไปกว้างขึ้นด้วยเช่นกัน
คนจีนนิยมทุเรียน มีความต้องการหลากหลาย ชอบหลายสายพันธุ์มากขึ้น (ทุเรียนไทยมีจุดแข็งเรื่องความหลากหลายพอดี)
มีบริษัทจีนเหมาลำขนส่งทุเรียนไปจีน
มีอินฟลูฯ ขายทุเรียนหลายหมื่นตันภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ฯลฯ
นี่คือข่าวดีสำหรับทุเรียนไทย ที่ควรจะต่อยอดออกไปให้ได้อีกมหาศาล
4. กระแสทุเรียนในสื่อโซเชียลของไทย
บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผ่านเครื่องมือ DXT360 เพื่อฟังเสียงในสังคมออนไลน์ (Social Listening) และนำข้อมูลเรื่องทุเรียนมาวิเคราะห์ ดูว่ามีการพูดถึงทุเรียนที่น่าสนใจอย่างไรบ้าง
ยกตัวอย่าง
พบว่า “หมอนทอง” ยังเป็นสายพันธุ์ทุเรียนยอดฮิต
“หมอนทอง” รสชาติหวานมันกำลังดี กลมกล่อม ไม่ได้หวานแหลมจนเกินไป และเนื้อเยอะ
ส่วน “ก้านยาว” รสชาติจะหวานมัน แต่มีขนาดเม็ดที่ใหญ่ ชะนี รสชาติจะหวานจัดกลิ่นแรง เนื้อสีเหลืองเข้ม และมีขนาดเม็ดที่เล็ก
“กระดุม” รสชาติจะมีความหวานมากกว่าความมัน และเนื้อบาง
“หลงลับแล” รสชาติจะมีความหวาน นุ่ม ละมุนลิ้น
“ภูเขาไฟศรีสะเกษ” รสชาติหวาน มัน กลิ่นไม่ฉุนมากนัก และเนื้อจะมีความแห้ง ไม่แฉะ
“นกหยิบ” รสชาติจะหวาน มัน ปานกลาง มีความคล้ายคลึงกับหมอนทอง และลูกไม่ใหญ่มาก
ข้อมูลจาก Social Media พบว่า สายพันธุ์ทุเรียนที่ได้รับการกล่าวถึงสูงสุด (Mention) คือ หมอนทอง 56.73%
รองลงมา ชะนี ภูเขาไฟศรีสะเกษ ก้านยาว และกระดุม ตามลำดับ
ในด้านแหล่งเพาะปลูกทุเรียนที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุด เรียงตามลำดับ ได้แก่ จันทบุรี ระยอง ศรีสะเกษ ตราด และชุมพร
โดยจันทบุรี 21.54%, ระยอง 11.45%, ศรีสะเกษ 9.19%, ตราด 7.62%, ชุมพร 4.48%
ที่น่าสนใจ ในด้านการตลาดทุเรียนที่ได้รับความสนใจ ข้อมูลจากแพลตฟอร์ม DXT360 ที่ระบุว่า “กลยุทธ์บุฟเฟ่ต์ทุเรียน” ได้รับความสนใจมาก
จุดเด่นของกลยุทธ์บุฟเฟ่ต์ทุเรียนที่ช่วยตอบโจทย์ปัญหาของกลุ่มลูกค้าที่อยากจะทานคนเดียว มาเป็นคู่ หรือ มากันทั้งครอบครัว คือ
- การได้ลองทานสายพันธุ์และเนื้อทุเรียนที่ถูกใจทุกรูปแบบ
- ทานได้ไม่อั้น ตอบโจทย์ช่วงราคาทุเรียนแพง
- เมนูหลากหลายทั้งแบบดั้งเดิมอย่างข้าวเหนียวทุเรียน และร่วมสมัยอย่างบิงซูทุเรียน
- การนำเมนูทุเรียนมาเสริมเป็นอาหารหวานในไลน์บุฟเฟ่ต์อาหารคาวเพื่อตอบโจทย์มื้ออาหารหลัก
- มีผลไม้ตามฤดูกาลนอกจากทุเรียนเพื่อเพิ่มตัวเลือกให้กับลูกค้า
ปัจจัยที่ทำให้แคมเปญบุฟเฟ่ต์ของแต่ละเจ้าได้รับกระแสตอบรับดีมาจาก การประเมินความคุ้มค่าของลูกค้าจากราคาต่อหัว เนื่องจากทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อน ทำให้ไม่สามารถรับประทานได้ในปริมาณมาก
นอกจากนี้ บรรดาร้านอาหารชื่อดังทั้งคาวและหวาน อย่าง MK, Swensen, Dairy Queen ก็มีการนำทุเรียนมาต่อยอดเพื่อเกิดเมนูใหม่ๆ ได้รับความนิยม และผู้คนให้ความสนใจกันอย่างล้นหลาม
เมนูทุเรียนที่ได้ความสนใจ เช่น ข้าวเหนียวทุเรียน ไอศกรีมทุเรียน เค้กทุเรียน ส้มตำทุเรียน แกงส้มทุเรียน รวมไปถึงทุเรียนทอด ทุเรียนกวน ฯลฯ
5. ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ หากรัฐบาล โดยเฉพาะนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ที่เคยประกาศตั้งเป้าหมายว่า ภายใน 10 ปี ประเทศไทยจะขายทุเรียนได้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน เป็น 1 ล้านล้านบาท !!!
นั่นหมายถึงเพิ่มจากปัจจุบันเกือบ 10 เท่าตัว!!!
ถ้าพูดจริง ทำจริง จะต้องพิจารณาจริงจังทั้งหมด ทั้งด้านการผลิต การตลาด การขยายตลาด การรักษาส่วนแบ่งตลาด การเพิ่มความหลากหลาย ฯลฯ
ว่าแต่ว่า นายกฯ เศรษฐาลืมหรือยัง ว่าเคยประกาศอะไรเอาไว้บ้าง?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี