เมื่อวานวันที่ 3 มิถุนายน เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 ปรากฏว่าพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคก้าวไกลแทนที่จะพูดเรื่องปัญหาของชาวบ้านที่กำลังประสบกันโดยทั่วอยู่ในเวลานี้ เกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจเรื่องปากท้องและชีวิตความเป็นอยู่ จากการบริหารงานที่ไร้น้ำยาของรัฐบาลที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับไปพูดเรื่องที่พรรคก้าวไกลหมกมุ่นอยู่
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลซึ่งเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ลุกขึ้นมาอภิปรายตามที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทาประธานสภาผู้แทนราษฎร เปิดโอกาสให้สส.หารือถึงความเดือดร้อนประชาชนต่อที่ประชุมสภาฯในช่วงแรกของการประชุม โดยนายพิธาได้เรียกร้องให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี รวมทั้งพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้อง--ปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้ใน“MOU”
MOU ที่ว่านั้น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กล่าว่า “ไม่ใช่เอ็มโอยูที่จัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ แต่คือเอ็มโอยูของการเสนอบุคคลให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาและรองประธานสภา ที่ปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งอยู่ ซึ่งทำเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2566หรือวันนี้เมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา เป็นสัญญาของการผลักดันวาระ-ก้าวหน้า ที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรผลักดันตามสัญญาที่ให้ไว้”
เนื้อหาของ MOU ซึ่งไม่ถือเป็นสัญญาผูกมัดในทางกฎหมาย ตามที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล อ้างถึง-นั่นก็คือ..เรื่องที่จะทำให้รัฐสภาไทย“ก้าวหน้า โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีประสิทธิภาพและเป็นของประชาชนแท้จริง” รวมถึงความคืบหน้าการนิรโทษกรรมคดีการเมืองเพื่อแก้วิกฤตการเมือง โดยที่คนไทยที่เห็นต่างต้องไม่ติดคุก-หรือต้องลี้ภัย
อีกประเด็นหนึ่งที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์-เจ้าของฉายา“นายกฯว่าว” อภิปรายเรียกร้องก็คือเรื่องการปฏิรูปกองทัพ โดยนายพิธากล่าวว่า“อยากขอให้แก้ไขกฎหมายเพื่อปฏิรูปกองทัพ ซึ่งพบว่าร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมที่พรรคก้าวไกลเสนอได้บรรจุในวาระการประชุมแล้ว ส่วน ร่างพ.ร.บ.กฎอัยการศึกและร่างพ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรยังติดอยู่ที่นายกฯ เพราะถูกตีความว่าเป็น พ.ร.บ.เกี่ยวกับการเงิน”
ถ้าจะว่าไปแล้วพรรคก้าวไกลนั้นเหมือนเด็กที่ไร้วุฒิภาวะ สส.ของพรรคนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มคนสาวรุ่นใหม่ ไม่ได้อยู่กับร่องกับรอย เมื่อวานพูดอย่าง-วันนี้พูดอย่าง พูดจากกลับไปกลับมาเหมือนคนกลับกลอก เช่นเรื่องไปดูงานต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้พรรคก้าวไกลเรียกร้องที่จะให้มีการปรับลดงบประมาณการไปดูงานในต่างประเทศ รวมตัดงบฯการจัดสัมมนาที่ไม่จำเป็นออก โดยอ้างว่า สามารถนำเงินก้อนนี้ไปจัดสรรเป็นสวัสดิการที่ดีให้แก่ประชาชนได้
แต่เอาเข้าจริง สส.พรรคก้าวไกลที่เป็นคณะกรรมาธิการชุดต่างๆในสภาผู้แทนราษฎร..กลับเดินทางไปดูงานในต่างประเทศกันเป็นว่าเล่น และแต่ละประเทศที่ไป ก็เป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวทั่วไปชอบไปเที่ยวกัน เช่น ฝรั่งเศส, อังกฤษ, เดนมาร์ก, นอร์เวย์, สวีเดน, เยอรมนี,เบลเยี่ยม, เนเธอแลนด์, โปแลนด์, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และจีน เป็นต้น
ถึงขนาดว่า แม้แต่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และเป็นอดีตสส.และเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ก่อนจะอวตารมาเป็นพรรคก้าวไกลในทุกวันนี้ ยังเคยออกมาเรียกร้องสส.ของพรรคก้าวไกลให้ยกเลิกการดูงานต่างประเทศ ซึ่งนายปิยบุตรจะเรียกว่าเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของ สส.พรรคก้าวไกลก็ว่าได้ ได้โพสต์ข้อความทางแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ (X) เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 ว่า
“เปลืองงบประมาณแผ่นดิน เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีการสื่อสารกว้างไกล ค้นคว้าเองก็ได้หรือเชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาบรรยายก็ได้ ควรยกเลิกการดูงานต่างประเทศเสีย หากยังไม่ยกเลิกต้องควบคุมเคร่งครัด ตัดลดงบห้ามไปซ้ำซ้อน เวียนประเทศในยุโรปอยู่ไม่กี่ประเทศ ประเภทปีที่แล้วคณะนี้ไปปีนี้อีกคณะหนึ่งไป หรือเลือกประเทศที่อยากไปเที่ยว มากกว่าคิดเรื่องภารกิจ และเมื่อไปแล้วต้องทำรายงานการค้นคว้าด้วย-อยากเห็น สส.ก้าวไกล ทำเป็นตัวอย่างครับ”
ล่าสุดที่พรรคก้าวไกลกำลังถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ในเวลานี้ก็คือ คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลเป็นประธานฯ ได้ยกคณะกันไปศึกษาดูงานเกี่ยวกับ“แนวทางการรับมือผู้ลี้ภัยที่มีประสิทธิภาพ”ที่ประเทศโปแลนด์
จะอย่างไรก็ตาม ที่ยกเรื่องพรรคก้าวไกลมาพูดตั้งแต่ต้น ก็เพราะว่า ประชาชนคนไทยกว่า 14 ล้านเสียงที่เลือกผู้สมัคร สส.ของพรรคก้าวไกลเข้าไปเป็นตัวแทนในสภาผู้แทนราษฎรนั้น เขาต้องการให้สส.ของพรรคก้าวไกลเข้าไปเป็นปากเป็นเสียงแทน และคอยปกป้องผลประโยชน์ให้แก่ประชาชนและชาติบ้านเมือง
ยิ่งทุกวันนี้ในฐานะที่พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน และมีนายชัยธวัช ตุลาธนหัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นผู้นำฝ่ายค้านในนสภาผู้แทนราษฎร ก็ยิ่งสมควรต้องทำหน้าที่คอยตรวจสอบและควบคุมรัฐบาลที่เป็นฝ่ายบริหารอย่างเข้มงวดกวดขัน เพราะผ่านมาเกือบจะครบหนึ่งปี เศรษฐกิจของประเทศกลับยิ่งเลวร้ายลง ขณะที่รัฐบาลก็คอยจ้องแต่จะล้างผลาญงบประมาณแผ่นดิน
โดยเพิ่งเมื่อวานซืนนี้เอง จากการประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดนครราชสีมาเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีมติปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2567 โดยจะก่อหนี้ใหม่เพิ่มเป็น 2.75 แสนล้านบาท ตัวเลขกลมๆ ก็คือ แผนการก่อหนี้ใหม่ปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ 275,870.08 ล้านบาท จากเดิม 754,710 ล้านบาท รวมเป็น 1,030,580.71 ล้านบาท (1.03ล้านล้านบาท) ซึ่งก็เท่ากับว่า ภายหลังจากมีการปรับปรุงหนี้สาธารณะ ระดับหนี้สาธารณะจะอยู่ที่ 65.05 เปอร์เซ็นต์ต่อจีดีพี จากกรอบบริหารหนี้สาธารณะที่กำหนดเพดานไว้ไม่เกิน 70 เปอร์เซ็นต์ต่อจีดีพี
เรื่องการก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นนี้จึงถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ เนื่องจากจะมีผลกระทบกับคนไทยทุกคนที่จะต้องแบกรับภาระหนี้ แต่เพราะพรรคก้าวไกลเป็นเหมือนเด็กที่ไร้วุฒิภาวะ หมกมุ่นแต่เฉพาะผลประโยชน์ของตน โดยเฉพาะเรื่องการนิรโทษกรรมที่จะโยงเอาคดีความผิดมาตรา 112 มาพ่วงเป็นคดีการเมืองด้วย ซึ่งใครก็รู้ว่าเยาวชนและคนหนุ่มสาวที่ตกเป็นผู้ต้องหาและเป็นจำเลย รวมทั้งถูกศาลชั้นต้นพิพากษาตัดสินไปแล้วหรือแม้กระทั่งได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว จำนวนไม่น้อย ล้วนเกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกลทั้งสิ้น
ดังนั้น รัฐบาลคิดจะทำอะไรก็ทำได้ตามอำเภอใจ มีฝ่ายค้านก็เหมือนไม่มีและพรรคก้าวไกลเองก็ไม่รู้จักจำและไม่สำนึกว่า กำลังจะถูกยุบพรรคอยู่รอมร่อก็ด้วยข้อหา มีเจตนาล้มล้างการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จากการเสนอนโยบายแก้ไขมาตรา 112 และเคลื่อนไหวทางการเมืองสอดประสานกับม็อบนอกสภาฯ
หัวจะขาดอยู่แล้ว-“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”ก็ยังปากดี ยกเรื่อง MOU เกี่ยวกับความคืบหน้าการนิรโทษกรรมคดีการเมือง ที่คิดจะพ่วงคดีความผิดมาตรา 112 เข้ามาด้วย มาอภิปรายกลางสภาฯ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี