“การเจริญเติบโตของเมืองและความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ทำให้มีการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งต้องการบุคลากรที่มีทักษะในการบริหารจัดการระบบวิศวกรรมประกอบอาคารที่มีความหลากหลายสามารถควบคุมระบบต่างๆ ในอาคาร รู้การบริหารในทุกระบบ รวมถึงการบริหารอุปกรณ์แต่ละชนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ช่างหรือวิศวกรประจำอาคารในปัจจุบันส่วนใหญ่จะมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางตามสาขาวิชาที่ร่ำเรียนมา อาทิ เครื่องกล ไฟฟ้า โยธา และที่ผ่านมายังไม่มีหลักสูตรในการพัฒนาบุคลากรกลุ่มนี้ให้มีทักษะรอบด้าน ในลักษณะ Versatile ที่จะสามารถดูแลและบริหารระบบที่ซับซ้อนของอาคารยุคใหม่ๆ อาทิ Green Building, Smart Building หรือ รองรับเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือระบบ AI และอื่นๆ ได้อย่างครบวงจร”
รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) บอกเล่าที่มาที่ไปของการเปิดหลักสูตร “พื้นฐานการจัดการระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร Utility Management” ขึ้นที่มจธ. ซึ่งเป็นหลักสูตรประกาศนียบัตรระยะสั้น (Non Degree) ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทางและรอบด้านในการดูแลระบบต่างๆ ในอาคารยุคใหม่ และรองรับความต้องการของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ซึ่ง มจธ. ในฐานะสถาบันการศึกษาที่มีองค์ความรู้ทางด้านวิศวกรรม เทคโนโลยี และนวัตกรรม นอกจากผลิตนักศึกษาที่มีคุณภาพสู่สังคมแล้ว มหาวิทยาลัยยังมีนโยบายขยายพันธกิจด้านการพัฒนาบัณฑิตไปสู่การพัฒนากลุ่มคนวัยทำงาน (Working Adults) ในภาคอุตสาหกรรมภายใต้ชื่อ “KMUTTWORKS” ซึ่งเป็นโมเดลความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและภาคอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ เพื่อการพัฒนาทักษะและสมรรถนะของคนวัยทำงานอย่างยั่งยืน
โดยออกแบบหลักสูตรประกาศนียบัตรภายใต้โจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรม (Real Demand) อันเป็นโปรแกรมการศึกษารูปแบบใหม่ ที่มุ่งเน้นด้านการสร้างกำลังคน พัฒนาศักยภาพ และยกระดับทักษะกำลังคนวัยทำงานเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม สอดรับนโยบายของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ที่ต้องการให้สถาบันอุดมศึกษามีบทบาทกว้างมากขึ้นโดยเข้าไปมีส่วนในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและภาคการผลิตของประเทศไทย
“ในอนาคตจะมีโครงการขนาดใหญ่หรือศูนย์การค้าใหญ่อีกมาก และกำลังต้องการคนกลุ่มนี้ วิศวกรที่ทำหน้าที่ดูแลบริหารอาคาร โดยเฉพาะ Ecosystem ของอาคารมีความสำคัญไม่น้อยกว่าวิศวกรผู้ควบคุมการก่อสร้างอาคาร ช่างหรือวิศวกรอาคารที่เอกชนต้องการนั้นจะต้องสามารถคาดการณ์หรือมองเห็นว่ามีปัญหาอะไรผิดสังเกต ในระบบน้ำไฟ แอร์ ลิฟต์ บันไดเลื่อน และต้องสามารถวางแผนในการป้องกันได้ก่อนด้วย ไม่ใช่ให้เกิดเหตุแล้วค่อยมาแก้ปัญหา
ดังนั้นหลักสูตรนี้จึงมาเติมเต็มช่องว่างในการช่วยยกระดับอาชีพช่างอาคารหรือยกระดับอาชีพช่างนิติบุคคลหมู่บ้าน โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ บุคลากรที่อยู่ในสายงานช่างอาคาร นักศึกษา รวมถึงผู้จบ ปวช.-ปวส. ที่มีประสบการณ์ หรือนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์สาขาเฉพาะทางที่สนใจประกอบอาชีพหรือต้องการทำงานร่วมกับคนกลุ่มสายอาชีพนี้” รศ.ดร.สุวิทย์ กล่าว
สำหรับหลักสูตรพื้นฐานการจัดการระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร Utility Management นี้ จัดทำขึ้นโดยความร่วมมือกันระหว่าง มจธ. กับ บริษัท สยามพิวรรธน์จำกัด และ สยามพิวรรธน์ อคาเดมี (SIAM PIWAT Academy) ซึ่งได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวกันไปเมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา ณ ชั้น 3 อาคาร LX มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (บางมด)
ดร.อรกัญญาณี เลี้ยงอิสสระ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต มจธ. กล่าวว่า หลักสูตรนี้เป็นการออกแบบและพัฒนาขึ้นมาจากโจทย์ที่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมนำความต้องการของประเทศมาสะท้อนให้กับนักวิชาการในสถาบันอุดมศึกษาได้เห็นภาพความต้องการแรงงานจริงในตลาดแรงงานในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด และ Siam Piwat Academy ได้เห็นแนวทางการพัฒนากำลังคนของ KMUTTWORKS ที่เป็นเครื่องมือในการต่อยอดทักษะสมรรถนะให้แก่กำลังคนอย่างมีประสิทธิภาพ ตรงจุด และว่องไว
“ปัจจุบันด้วยภาวการณ์แข่งขันที่สูงทำให้ในหลายๆมิติ ภาคธุรกิจและเอกชนไม่สามารถรอถึง 4-5 ปีให้มหาวิทยาลัยผลิตกำลังคนได้ หลักสูตร Non-Degree ที่เราออกแบบมานี้ จึงตอบโจทย์ได้มากกว่า เพราะนอกจากจะเน้นปูพื้นฐานในด้านต่างๆ ที่ช่างหรือวิศวกรอาคารควรรู้ เช่น Anatomy of the Building ยังเน้นเรื่องใหม่ๆ ที่ช่างประจำอาคารในศูนย์การค้าหรืออาคารขนาดใหญ่จำเป็นต้องรู้และเตรียมพร้อมรับมือกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เป็น Smart Building และ Smart Energy” ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต มจธ. กล่าว
ด้าน นางจารุนันท์ อิทธิอาวัชกุล HR - ExecutiveConsulting และที่ปรึกษา โครงการ Siam Piwat Academy บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า 65 ปีที่ผ่านมา สยามพิวรรธน์ มุ่งพัฒนาและบริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ ไอคอนสยาม และสยามพรีเมียม เอาท์เล็ต กรุงเทพ จนได้รับการยอมรับให้เป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องมาเยือนของนักเดินทางจากทั่วโลก เหล่านี้สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญในการบริหารอาคารและประสบการณ์อย่างสูงในด้าน facility management
“และเพื่อยกระดับสมรรถนะบุคลากรของบริษัทไปอีกขั้น รวมทั้งความมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนากำลังคนของประเทศ บริษัทฯ จึงร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในการพัฒนาทักษะและสมรรถนะของกลุ่มบุคลากรสายงานช่างประจำอาคาร หรือ วิศวกรประกอบอาคาร เพราะความมั่นคงปลอดภัยของอาคารเป็นรากฐานสำคัญของธุรกิจทุกประเภท” นางจารุนันท์ กล่าว
จุดเด่นของหลักสูตร คือ เป็นหลักสูตรประกาศนียบัตรหรือ Non-Degree Program เรียนแบบไม่มุ่งเน้นปริญญา แต่ในอนาคตผู้เรียนก็สามารถสะสมเครดิตเพื่อเข้าสู่ระบบการเรียนการสอนแบบปริญญาได้เช่นกัน โดยหลักสูตร Utility Management นี้ จะถูกแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ basic, intermediate, advanced และ expert ถือเป็นหลักสูตรแรกของไทยที่บูรณาการวิชาชีพวิศวกรรมสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวกับการจัดการอาคารเข้าด้วยกันถึง 10 ทักษะ
ประกอบด้วย ความรู้เกี่ยวกับระบบอาคาร รหัสและระเบียบการก่อสร้าง ความชำนาญด้านเทคโนโลยี ทักษะการบำรุงรักษาและซ่อมแซม การจัดการและอนุรักษ์พลังงาน การจัดการความเสี่ยงฉุกเฉิน ทักษะการบริการลูกค้าการทำงานเป็นทีม การพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาและการจัดการทางการเงิน และการสร้างระบบ PV แบบบูรณาการ ซึ่ง “หลักสูตรระดับ Basic จะเริ่มเปิดสอนรุ่นที่ 1 ภายในเดือนกรกฎาคมนี้” และทยอยเปิดระดับอื่นๆ และรุ่นต่อๆ ไปให้ครบ 4 ระดับภายในปีการศึกษา 2568!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี