การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ครั้งล่าสุด ยังคงเกิดความสับสนอลหม่านไม่จบจวบจนบัดนี้ แต่ที่น่าตลกสิ้นดีคือ มีว่าที่ สว. บางจำพวกลอยหน้าหาว่า ว่าที่ สว. รายอื่นทุจริต แต่น่าสมเพชที่ว่าที่ สว. จำพวกนั้นอ้างว่าตัวเองสะอาดใสไร้มลทินทั้งๆ ที่มันก็เข้าข่ายฮั้วไม่ต่างกัน เพียงแต่กลอุบายในการฮั้วมันเป็นคนละชนิดกัน ก็เลยกลายเป็นว่า พวกว่าที่ สว. ที่ฮั้วแล้วแพ้คนที่ฮั้วได้ผลมากกว่า ต้องเกิดอาการสติแตก โวยวาย ตีโพยตีพายทำอาการประมาณว่าคนอื่นโกง คนอื่นชั่ว แต่ตัวของคนที่โวยวายเป็นคนดี แสนสะอาด มีคุณภาพเกินคนอื่น
ขอโทษนะ เลิกสันดานแพ้แล้วพาลเสียเถอะ หากมั่นใจว่าคนอื่นโกง ก็เอาหลักฐานไปฟ้องร้องดำเนินคดีเสียโดยพลัน จะช้าอยู่ไย แล้วก็ขอย้ำว่าเลิกโวยวายว่าคนอื่นโกงได้แล้ว ตราบใดก็ตามที่ กกต. (คณะกรรมการการเลือกตั้ง)ไม่ได้บอกว่าใครทุจริต ก็หมายความว่ายังไม่มีคนทุจริตแม้จะมีคนทุจริตจริงๆ ก็ตาม แต่เมื่อยังจับไม่ได้คาหนังคาเขา ก็ต้องปล่อยเขาไป ขอจงตั้งสติให้ดี แล้วเลิกเล่นบทฉันสุจริตกว่าเธอ เธอมันคนโกง เธอมันคนไม่มีราคา ฉันมีราคา มีความน่าเชื่อถือสูงกว่าเธอ แล้วจำไว้ ตราบใดที่ กกต. ยังไม่ระบุว่าใครโกง เหล่าบรรดาว่าที่ สว. จอมทุรนทุรายก็ควรจะสงบสติอารมณ์เสียบ้าง อย่าดีแต่พล่ามเพ้อให้มากไป เพราะที่มันไม่งามอยู่แล้ว มันจะยิ่งทรามมากไปกว่าเดิม
พูดกันตามความจริง การสรรหา แล้วเลือกกันเองระหว่างผู้สมัคร สว. ในครั้งนี้ มันก็เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองบางพรรคอย่างชัดเจน เพียงแต่พรรคการเมืองเหล่านั้นไม่กล้ายอมรับความจริง เพราะกฎหมายห้ามไว้ แต่แม้จะมีกฎหมายห้ามไว้ แต่ก็หาได้ทำให้พรรคการเมืองยี่หระ หรือยำเกรงไม่ เพราะพรรคการเมืองไทยจำนวนไม่น้อยไม่เคยเคารพกฎหมาย แล้วก็พร้อมใช้กลอุบายทุกอย่างเพื่อแหกช่องว่างช่องโหว่ของกฎหมายตลอดเวลา อย่างเช่น การถูกตัดสินว่าห้ามลงสนามการแข่งขันทางการเมืองเป็นระยะเวลา 10 ปี หรือตลอดชีวิต ก็นักการเมืองที่ถูกสั่งห้ามโดยกฎหมายก็ยังลงไปเกี่ยวข้องกับการเมืองอยู่ดี แต่อ้างว่าไม่ได้ลงสมัครชิงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งๆ ที่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าเข้าไปมีความเกี่ยวข้องทางการเมืองในฐานะผู้สนับสนุน และผู้กำกับโดยพฤตินัย แต่ก็ยังตะแบงว่าไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง
เรื่องการสรรหา สว. ครั้งล่าสุดก็เช่นกัน กฎหมายห้ามพรรคการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่พรรคการเมืองบางพรรคก็ยังคงเข้าไปเกี่ยวข้อง ถามว่ากลุ่มการเมืองสีส้ม สีแดง สีน้ำเงิน ไม่เกี่ยวข้องกับการส่งคนลงสมัคร สว. จริงหรือ ถามย้ำว่าจริงๆ หรือ
ไม่ใช่เรื่องผิดที่กลุ่มการเมืองใดจะประกาศและรณรงค์เชื้อเชิญ เชิญชวน และปลุกเร้าให้ผู้คนไปสมัคร สว. กันมากๆ เราทุกคนที่ตามประเด็นการเมืองไทยจะพบว่ากลุ่มการเมืองสีส้มทั้งเชิญชวนและชักชวน และปลุกเร้าให้คนจำนวนมากไปสมัคร สว. และพบว่ายังทำ campaign โดยกลุ่มการเมืองสีส้มอีกด้วย แต่อ้างว่าไม่ได้ต้องการทำ campaign เพื่อให้กลุ่มสีส้มมี สว. ในสังกัด ถามว่าคำอ้างแบบนี้จะไม่มีใครที่มีสติปัญญาหลงเชื่อบ้าง
อันที่จริง ไม่ใช่แค่กลุ่มการเมืองสีส้มเท่านั้นที่เปิดcampaign ระดมคนสมัคร สว. ให้มากที่สุด แต่ยังมีกลุ่มอื่นๆ ในสังคมก็ทำ campaign นี้เช่นกัน แต่วิญญูชนก็จับได้ว่าสุดท้ายแล้วกลุ่มผู้ร่วมทำ campaign ก็มีความเกี่ยวข้องกันในมุมใดมุมหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังอ้างว่าไม่ได้จ้างใครไปลงสมัคร เพียงแต่ต้องการให้คนที่ไม่ยอมให้ใครซื้อเสียงไปสมัคร สว. กันมากๆ แต่ก็ต้องถามว่า แล้วทำไมต้องเปิดอบรม เปิดติว และเปิดห้องยุทธการเพื่อการครั้งนี้ ถามซ้ำว่า ทำไปเพื่ออะไร หากมิใช่เพื่อให้คนในกลุ่มตัวเองชนะการแข่งขันแล้วได้เป็น สว.
ถามใหม่ว่า คณะก้าวหน้าคือใคร มีความเกี่ยวข้องโยงใยอย่างไรกับพรรคก้าวไกล แล้วถามต่อไปว่า พรรคก้าวไกลเกี่ยวข้องอย่างไรกับพรรคอนาคตใหม่ และเกี่ยวข้องอย่างไรกับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และปิยบุตร แสงกนกกุล และพรรณิการ์ วานิช
กลุ่มการเมืองก้าวหน้ามีเจตนารมณ์ และมีการแสดงออกทางการเมือง ใช่หรือไม่ ตอบว่า ใช่ แต่ก็ต้องบอกว่าเป็นสิทธิ์ของคนไทยที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่สำหรับคนที่ถูกศาลพิพากษาตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่ยังเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการเมืองในรูปแบบต่างๆ แบบนี้ถือว่าเคารพคำสั่งศาลหรือไม่หรือจะอ้างว่าศาลสั่งไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ศาลได้พิพากษาเรื่องนี้ไปแล้ว ดังนั้น การทำสิ่งที่ขัดแย้งกับคำสั่งศาล จึงเท่ากับการไม่เคารพศาล ใช่หรือไม่
อย่าลืมว่ากลุ่มก้าวหน้าส่งคนของตนลงชิงตำแหน่งในการเลือกตั้ง อบต. (องค์การบริหารส่วนตำบล) และเทศบาล แล้วส่งคนของตนลงชิงตำแหน่งบอร์ดสำนักงานประกันสังคม แล้วก็ประสบชัยชนะด้วย เช่น ได้เป็นบอร์ดประกันสังคม ฝ่ายผู้ประกันตน 6 คน จากตำแหน่งทั้งหมด 7 ที่นั่ง และกลุ่มก้าวหน้าได้เป็นสมาชิกสภา อบต. 57 คน นายก อบต. 38 คน นายกเทศมนตรี 16 คน สมาชิกสภาเทศบาล 130 คน
ขอย้ำว่ากฎหมายล่าสุดสั่งห้ามพรรคการเมืองส่งคนลงสมัคร สว. อ้างตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 โดยห้ามผู้สมัคร สว. เป็นสมาชิกพรรคการเมือง เป็นผู้บริหารพรรคฯ และห้าม สส. ห้ามพ่อแม่ ผัวเมีย และลูกของ สส. และ สว. รวมถึงข้าราชการการเมืองลงสมัคร สว.
แน่นอนว่า ผู้สมัครชิงตำแหน่ง สว. ทุกคนในครั้งนี้ไม่ได้มาจากพรรคการเมือง แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่าทุกคนไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองในมุมใดมุมหนึ่ง หรือแง่ใดแง่หนึ่ง โดยทุกคนที่ลงสมัคร ต่างก็ไม่ใช่ สว. และ สส. ที่ยังมีอำนาจในขณะนี้ แต่ในความเป็นจริงพบว่ามีความเกี่ยวพันกับหลายแง่มุม บางคนเป็นคนใกล้ชิดกับนักการเมือง บางคนเป็นคนที่สนับสนุนพรรคการเมือง บางคนเป็นคนที่เคยทำมาหากินอยู่กับพรรคการเมือง ฯลฯ
เมื่อคนสมัคร สว. ไม่ได้เป็นนักการเมืองที่สังกัดพรรคการเมือง เขาทุกคนก็จึงอ้างได้ว่า ฉันไม่ใช่นักการเมืองสังกัดพรรคการเมืองใดๆ แล้วพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัคร สว. ในครั้งนี้ก็ฉลาดมากพอที่จะไม่พูดตรงๆ ว่าพรรคการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง และผู้สมัคร สว. ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคฯ แบบโดยตรง เมื่อทุกอย่างออกมาในรูปแบบนี้ ก็ทำให้หมดคำถามเบื้องต้นเรื่องการสังกัดพรรคการเมือง แต่ไม่มีใครลืมประเด็นความเกี่ยวพันกับพรรคการเมืองในแง่มุมอื่นๆ อีกสารพัดแง่มุม
แรกๆ มีการบอกว่า จะมีผู้คนนับแสนถึงสองแสนคนไปสมัคร สว. แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว มีผู้สมัครไม่ถึง 5 หมื่นคน แล้วให้ผู้สมัครคัดเลือกกันเองตามสังกัดกลุ่ม 20 กลุ่ม โดยเลือกกันเองสามรอบ คือรอบอำเภอ รอบจังหวัด และประเทศ โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือก หรือการเลือกกันเองต้องผ่านทั้งสามรอบ และต้องได้คะแนนสูงสุด 10 ลำดับแรกของกลุ่ม
จึงจะได้ผ่านเข้าไปเป็น สว. ทั้งนี้ สว. ชุดใหม่มีจำนวนทั้งหมด 200 คน ลดลงจาก สว. ชุดเดิมที่ยังไม่หมดวาระซึ่งถูกเรียกว่า สว. ที่มาจากการเลือกของ คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) โดยวาระของ สว. ชุดเดิมจะหมดไปต่อเมื่อ สว. ชุดใหม่เข้ารับหน้าที่โดยสมบูรณ์แบบ ทั้งนี้ สว. ชุดใหม่จะมีวาระ 5 ปี เช่นกัน
การเลือกสรร สว. ตามแบบที่ทำในครั้งล่าสุดนี้นับว่าสุดแสนพิสดาร แต่ก็มีผู้ยอมรับกฎกติกา แล้วเข้าร่วมแข่งขันไปแล้ว เมื่อเข้าร่วมการแข่งขันแล้ว และผลการแข่งขันก็ออกมาแล้ว จะบ่นทำไม จะไปชี้หน้าคนอื่นว่าโกงทำไม ทั้งๆ ที่คนชี้หน้าว่าคนอื่นโกงไม่มีหน้าที่ตัดสินคนอื่น แล้วถ้าหากมั่นใจว่าคนอื่นโกง ก็นำหลักฐานไปดำเนินคดีโดยด่วน อย่าดีแต่พูดไปเรื่อยๆ แล้วก็ไม่ควรจะยกหางตัวเองว่าตนเองไม่โกง แล้วคนอื่นโกง
ถามว่าในเมื่อยอมรับกฎกติกาการแข่งขันแล้ว แต่ผลออกมาว่าตนเองแพ้ เมื่อแพ้แล้วบอกว่าคนอื่นโกง ทั้งๆ ที่ลงสนามในกฎกติกาเดียวกัน แบบนี้มันเข้าข่ายแพ้แล้วพาล หรือโกงสู้คนอื่นไม่ได้ จึงแพ้ ใช่หรือไม่
ไม่มีใครปฏิเสธว่าการเลือกสรร สว. ครั้งนี้บริสุทธิ์ผุดผ่องร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อไม่มีหลักฐานมัดตัวว่าใครโกง เพราะฉะนั้นจะเอาแต่โวยวายว่าคนอื่นโกง แล้วตนเองไม่โกง ก็เป็นเรื่องไม่สมควร
อันที่จริง คนที่ไม่เห็นด้วยกับกลวิธีการสรรหา สว. แบบนี้เพราะเห็นว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ยึดโยงกับเสียงและความต้องการที่แท้จริงของประชาชน ก็จำเป็นต้องแสดงจุดยืนให้ชัดว่าไม่สนับสนุน แล้วไม่ร่วมลงเวทีแข่งขันด้วย แต่เมื่อตัดสินใจลงเวทีนี้แล้ว เมื่อได้รู้กฎกติกาแล้ว และก็ประกาศตัวเป็นคู่ต่อสู้ทางการเมืองแล้ว แต่เมื่อผลออกมาแล้วพบว่าตัวเองแพ้ หรืออาจจะไม่เรียกว่าแพ้แบบจริงๆ จังๆ ก็ได้ เพราะคนที่อ้างว่าคนอื่นโกง ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นว่าที่ สว. เพียงแต่ตนเองได้คะแนนน้อยกว่าคนที่ตนชี้นิ้วประณามว่าเขาโกง ขอบอกว่าพฤติกรรมแบบนี้น่าสมเพช และน่ารังเกียจ ขอย้ำว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยก็ไม่เชื่อว่าการสรรหา สว. ครั้งนี้ขาวสะอาด แต่เมื่อไม่มีหลักฐานมัดตัวคนโกง และ กกต. ก็ยังไม่ได้ระบุว่าใครทำผิด เพราะฉะนั้น คนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในเกมการเมืองนี้ก็ไม่ต้องทุรนทุรายรีบร้อนชี้หน้าว่าคนอื่นโกง เพราะมันก็มาจากการต่อสู้ทางการเมืองบนเวทีเดียวกัน บนกฎกติกาเดียวกัน เมื่อแพ้ก็ต้องยอมรับว่าแพ้ แล้วหากมีหลักฐานว่าใครโกง ก็นำหลักฐานไปฟ้องร้องดำเนินคดี
อย่างไรก็ตาม บอกได้คำเดียวว่า การสรรหา สว. ครั้งนี้ไม่ได้มาจากการเลือกของประชาชน แต่มาจากการเลือกกันเองระหว่างผู้สมัคร สว. เพราะฉะนั้น สว. ชุดนี้จึงไม่ใช่ สว. ที่มาจากฉันทานุมัติของประชาชน ส่วนการปล่อยให้ประชาชนเลือก สว. แล้วจะเกิดการทุจริต การซื้อสิทธิ์ขายเสียง จนกลายเป็นสภาผัวสภาเมีย ก็ต้องบอกว่าเป็นหน้าที่ของผู้จัดการเลือกตั้งที่ต้องตามตัวคนทำผิดกฎหมายไปลงโทษให้ได้ แล้วก็ต้องบอกด้วยว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็ต้องใช้สติปัญญากลั่นกรองเลือกสรรคนที่คุณสมบัติเหมาะสม มีความดีพอประมาณ (เพราะหาคนดีสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ในวงการการเมืองไทยยากมาก) ไปเป็นตัวแทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
การเลือกสรร สว. ครั้งล่าสุดนี้ตัดประเด็นปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียงระหว่างนักการเมืองกับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกได้เลย เพราะประชาชนไม่มีสิทธิ์เลือก แต่ถึงกระนั่นก็ไม่สามารถแก้ปัญหาการทุจริต การซื้อ การจ้างวานได้อยู่ดีแต่เมื่อไม่มีหลักฐานมัดตัวเพื่อเอาผิดใคร ก็ต้องยอมทำใจเชื่อไปก่อนว่าคนที่เป็นว่าที่ สว. ทุกคนยังเป็นผู้บริสุทธิ์แม้ใจจริงส่วนลึกจะไม่เชื่อว่าบริสุทธิ์ก็ต้องยอมทำใจให้หลงเชื่อซึ่งก็ไม่ต่างไปจากการเลือกตั้ง สส. เพราะตราบเท่าที่ กกต. ยังไม่สอย สส. คนใด ก็ต้องยอมทำใจให้หลงเชื่อว่า สส. คนนั้นบริสุทธิ์
ถามว่า ว่าที่ สว. จะไม่ติดตามเอาเรื่อง สส. ที่หลายคนเชื่อว่าไม่บริสุทธิ์บ้างหรือ หรือว่า ว่าที่ สว. ต้องการเข้าไปเป็น สว. ให้ได้ก่อน เพราะมีภารกิจเข้าไปเป็น สว. เพื่อเป้าประสงค์ทางการเมืองสำคัญคือ ล้มรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด ที่อ้างว่าร่างโดย คสช.
ปิดท้ายวันนี้ด้วยข้อความ อย่าไปชี้หน้าว่าคนอื่นเขาโกงหากตัวเองไม่มีหลักฐานมัดตัวเขา แล้วก็อย่าคิดว่าตัวเองดีกว่าเขาทั้งๆ ที่ตัวเองก็ลงแข่งขันสนามเดียวกันกับเขา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี