อย่างที่เราทราบกันดี ทุกวันนี้ สังคมไทยมีปัญหาคนจำนวนมากไร้งานทำ โดยเฉพาะกลุ่มคนมีรายได้น้อย ที่อยู่ในกลุ่มกลางล่างของสังคม แม้คนในกลุ่มนี้บางรายอาจจะยังมีงานทำอยู่บ้าง แต่เงินเดือนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาหลายปีแล้ว แล้วที่สำคัญคือมีหนี้สินล้นพ้นตัวทั้งหนี้ในและนอกระบบ แถมยังไม่มีเงินออมอีกด้วย ในขณะที่ค่าครองชีพประจำวันเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ เหล่านี้คือปัญหาของคนส่วนใหญ่ในสังคมไทย เป็นปัญหาของคนจนที่รัฐบาลทุกชุดรู้ดี
ทว่ารัฐบาลไม่มีปัญญาแก้ปัญหาได้ ไม่ว่ารัฐบาลจะเข้าสู่อำนาจด้วยการเลือกตั้งหรือการรัฐประหารก็ไม่มีปัญญาแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้คนจนได้ กลับกันเพื่อปกป้องตัวเองไม่ให้น่าละอายน่าสมเพชจึงบังเกิดวาทกรรมเป็นวรรคทองว่า 9 ปีที่สูญหาย
ที่สำคัญ “สภาพัฒน์รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 12 2567 ตอกย้ำความสามารถการบริหารประเทศของรัฐบาลนักกู้ผ้าขาวม้าพันคอ ภายใต้การนำของ “เศรษฐา ทวีสิน” และ/หรืออาจจะใต้การบงการของ “ศาสดาระบอบคอร์รัปชั่นนิยม”
เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำสุดในอาเซียน คือขยายตัวแค่ขยายตัวร้อยละ 1.5 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 1.7 ในไตรมาสที่สี่ของปี 2566ขณะที่ชาติเพื่อนบ้านทั้งอย่างฟิลิปปินส์ ขยายตัว 5.7% อย่างเวียดนาม 5.66%, อินโดนีเซีย 5.11%, มาเลเซีย 4.2%, สิงคโปร์ 2.7%
ทั้งที่เราสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จน WHOแซ่ซ้องสรรเสริญให้ความชื่นชม ยิ่งกว่านั้น “รัฐบาลรปภ.โง่” ภายใต้การบริหารของ “ลุงตู่-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29” ซึ่งถูกแกนนำฝ่ายค้านในอดีต-แกนนำรัฐบาลปัจจุบัน” ค่อนขอดจิกหยิกแซะว่าเป็น 9 ปีที่สูญหาย
วันนี้สังคมไทยทุกหัวระแหงไม่มีผู้ใดไม่คิดถึงนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ที่ชื่อ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” พร้อมเสียงเพรียกร้องถามหา “รัฐบาลเจ้าของฉายา “รปภ.โง่/ลุงตู่” จนหลายคนอยากย้อนเวลาไปเข้าคูหาเลือกตั้งใหม่
หายนะของเศรษฐกิจไทยที่เกิดขึ้น เป็นเพราะ “รัฐบาลนักกู้ผ้าขาวม้าพันคอ”และ “นักการเมืองเสียชาติเกิด” ดื้อและด้านกว่า “นักการเมืองชังชาติ”จนไม่ “สำเหนียก”เสียงตำหนิติเตือนของนักวิชาการทั้งด้านเศรษฐศาสตร์, การเงินการคลัง เอกสารเตือนสติของ “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยกับ “นโยบายเรือธงของรัฐบาลที่ต้องใช้งบประมาณกว่า 500,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัล วอลเล็ต
ด้วยข้ออ้าง “นามธรรม”… เกิดพายุหมุน…กระตุ้นเศรษฐกิจ
ท่ามกลางน้ำลายเน่าจากปากรัฐบาลกระเซ็นออกมาเลอะเทอะเปรอะเปื้อนสังคมไทย รัฐบาลกลับไม่ให้ความสำคัญกับประชาชนที่เฝ้าสำรอกสำรากฟูมฟักอุ้มชูมาตลอดการหาเสียงเลือกตั้ง กระทั่งในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล
การไม่เห็นศีรษะประชาชนไม่สนใจบริหารประเทศตามแนวทางระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กลับถลำลึกแนวทางระบอบทักษิณและคอร์รัปชั่นนิยม ทุ่มเทเงินงบประมาณมหาศาลเพื่อตนเองและพวกพ้องแทนที่จะนำมาใช้ “พัฒนาด้านการศึกษา”, ระบบสาธารณสุข, อินฟาร์สตรัคเจอร์, เทคโนโลยีโนว์ฮาวแก่แรงงานทุกระดับชั้น
ใช้เงินมากมายไปกับนามธรรม ทั้งที่พื้นฐานทุกอย่างถูกปูทางมาจากรัฐบาลทหารหลายยุคสมัยทั้ง “โครงสร้างเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด”ในยุครัฐบาลทหารภายใต้การบัญชาการของ “ป๋าเปรม - พลเอกเปรม ติณสูลานนท์”จนอานิสงส์ให้ “พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ” เปิดประตูสู่การค้าโลกประชาชนอยู่ดีกินดีต่อเนื่องมาในอีกหลายรัฐบาล
หรืออย่างเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ “EEC-อีอีซี” ที่ “รัฐบาลรปภ.โง่” ในความรู้สึกของพวกท่านปูทางวางมาตรฐานไว้จนเกิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสามารถสร้างตลาดทั้งในและส่งออกได้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน
อย่าอายที่จะสร้างสิ่งดีดีให้แก่สังคมไทยประเทศชาติ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี