ลุงชาญ ใจดี” หรือนายชาญ พวงเพ็ชร์ ว่าที่นายก อบจ.ปทุมธานี ผู้สมัครในนามพรรคเพื่อไทย ได้รับกำลังหนุนทั้งจากทักษิณ ชินวัตร ทั้งแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ไปช่วยหาเสียง หรือแม้แต่โอ๊ค พานทองแท้ก็ยังขึ้นรถแห่ ช่วยเดินลงถนนช่วยหาเสียง
ทั้งยังได้แรงของ “8 บ้านใหญ่” ในปทุมธานีช่วยหนุนส่ง
ทำให้ได้รับคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งเหนือกว่าแชมป์เก่า “บิ๊กแจ๊ส” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง
เฉือนกันไปไม่ถึงสองพันคะแนน
แต่ปัญหาขณะนี้ คือ หาก กกต.รับรองผลการเลือกตั้งแล้ว “ลุงชาญ ใจดี” ในฐานะนายก อบจ.ปทุมธานี จะปฏิบัติหน้าที่ หรือหยุดปฏิบัติหน้าที่?หรือจะลาออกเพื่อเปิดทางให้เลือกตั้งใหม่?
1. ลงเลือกตั้งทั้งที่รู้ว่าตนเองถูก ป.ป.ช.ชี้มูลศาลปราบโกงประทับฟ้องแล้ว
ดูตามไทม์ไลน์ในภาพ เป็นข้อมูลความจริงว่า
พ.ย.2554 อบจ.ปทุมฯ จัดซื้อถุงยังชีพช่วงน้ำท่วมใหญ่ยุคยิ่งลักษณ์เอาไม่อยู่
มี.ค. 2564 ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางอาญา มาตรา 151 157
ม.ค. 2567 อดีตนายกชาญและพวก ไปรายงานตัวเพื่อส่งฟ้องศาลปราบโกง ได้ประกันตัวโดยยื่นหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดิน สู้คดีต่อ เพราะยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์คดีอาญายังไม่ถูกศาลพิพากษา โดยนัดไต่สวนคดีเดือน ก.ค.2567
หลังจากนั้น ปรากฏว่า พรรคเพื่อไทย ได้ส่งนายชาญลงเลือกตั้ง ชิงเก้าอี้นายก อบจ.ปทุมธานี
13 พ.ค.2567 นายชาญไปสมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ. โดยมีเลขาธิการพรรคเพื่อไทยไปให้กำลังใจ
30 มิ.ย.2567 “ลุงชาญ ใจดี” ได้คะแนนมาอันดับหนึ่งจ่อจะได้เป็นนายก อบจ.
ชัดเจนว่า นายชาญและพรรคเพื่อไทย รวมถึงทักษิณ ชินวัตร รู้ว่านายชาญ ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ศาลปราบโกงประทับรับฟ้องไว้แล้ว แต่ก็ยังลงสมัครรับเลือกตั้งอีก
2. แนวทางการหยุดปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารท้องถิ่น
ผู้บริหาร อปท. จะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของมหาดไทยตามกฎหมาย และอยู่ภายใต้การตรวจสอบตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ก่อนหน้านี้ กระทรวงมหาดไทยเคยสอบถามกฤษฎีกา เรื่อง การหยุดปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561
ปรากฏว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา ตอบข้อหารือไว้อย่างชัดเจน
สาระสำคัญระบุว่า เมื่อศาลคดีอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ (ศาลปราบโกง) ได้ประทับรับฟ้องในคดีอาญาที่ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดผู้บริหารท้องถิ่นแล้วผู้บริหารท้องถิ่นต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 93อันเป็นการหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยผลของกฎหมาย ไม่ว่าผู้ถูกกล่าวหาจะพ้นจากตำแหน่งและกลับมาดำรงตำแหน่งเดิมใหม่ โดยผู้กำกับดูแลมิต้องมีคำสั่งอีก แต่ผู้กำกับดูแลมีหน้าที่จะต้องดูแลให้มีการหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) พิจารณาแล้ว เห็นว่า การที่มาตรา 93 ประกอบกับมาตรา 81 กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ เจตนารมณ์ประการหนึ่งก็เพราะว่าในกรณีที่ศาลพิพากษาว่าผู้นั้นกระทำความผิดจะมีผลทำให้บุคคลนั้นหมดสิทธิ์ที่จะสมัครรับเลือกตั้งหรือเข้าดำรงตำแหน่งนั้นอีกต่อไป การให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการยุติความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลังดังนั้น ไม่ว่าผู้ถูกกล่าวหาจะพ้นจากตำแหน่งและกลับมาดำรงตำแหน่งเดิมใหม่ในอีกวาระหนึ่ง จึงมิได้ทำให้การต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามผลของกฎหมายเปลี่ยนแปลงไปนอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้วยังเป็นการป้องกันมิให้มีการใช้อำนาจหรือการสั่งการใดๆ ที่อาจมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมายได้
3. ทุกจังหวัดถือปฏิบัติ ปทุมธานีก็ไม่ใช่รัฐอิสระ
เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2567 อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยนายเอกวิทย์ มีเพียร (รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทน) ได้ทำหนังสือแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัด เรื่อง การดำเนินการ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561
แจ้งแนวทางปฏิบัติชัดเจน กรณี ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดผู้บริหารท้องถิ่น โดยผู้ถูกกล่าวหาได้พ้นจากตำแหน่งเดิมไปแล้วและอยู่ระหว่างการดำรงตำแหน่งเดิมในวาระใหม่ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยผลของมาตรา 93 ประกอบมาตรา 81แห่ง พ.ร.ป.ป.ป.ช. 2561 ตามแนวงทางที่กฤษฎีกา
และเมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2567 ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี โดยนายพงศกร กาญจนะจิตรา (รองผู้ว่าฯ ปฏิบัติราชการแทน) ได้ทำหนังสือแจ้งนายอำเภอ ทุกอำเภอ นายก อบจ. ปทุมธานี และผู้บริหาร อปท. ในจังหวัดปทุมธานีทุกแห่งถึงแนวทางปฏิบัติ เกี่ยวกับการหยุดปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารบริหารท้องถิ่นดังกล่าวแล้วเช่นกัน
ขั้นตอนแนวทางปฏิบัติระบุไว้ชัดเจน สรุป คือ
ขั้นแรก เมื่อนายก อบจ. ทราบว่าตนถูก ป.ป.ช.ชี้มูล และคดีถูกศาลปราบโกงประทับรับฟ้องไว้แล้ว จะต้องรายงานต่อนายอำเภอหรือผู้ว่าฯ เพื่อหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที
ขั้นต่อมา ผู้ว่าฯ หรือนายอำเภอ ต้องกำชับให้หยุดปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด
หากฝ่าฝืน อาจเข้าข่ายเป็น “การประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อย” นายอำเภอหรือผู้ว่าฯ อาจตั้งคณะกรรมการสอบสวน แล้วรายงานผลต่อผู้ว่าฯหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อสั่งให้พ้นจากตำแหน่งได้
ทั้งหมดนี้ เป็นแนวทางปฏิบัติที่บังคับอยู่ ทั่วประเทศ ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานีหนนี้แล้ว
4. ล่าสุด ทั้งเลขาธิการกฤษฎีกา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล และผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ต่างยืนยันว่า จะถือปฏิบัติตามแนวทางข้างต้นอย่างตรงไปตรงมา
5. ทางเลือกของ “ลุงชาญ ใจดี”
“ลุงชาญ ใจดี” ไม่เคยถูกถอดถอนจากตำแหน่งนายก อบจ. และไม่เคยต้องคำพิพากษาจำคุก จึงมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ. ได้
เพียงแต่ลุงชาญและพรรคเพื่อไทย ไม่เคยบอกกล่าวกับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่า ตนเองถูก ป.ป.ช.ชี้มูลศาลปราบโกงประทับรับฟ้องแล้ว หากได้เป็นนายก อบจ. จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามแนวทางที่มหาดไทยกำหนดตามข้อวินิจฉัยของกฤษฎีกา โดยพรรคเพื่อไทยมองว่า แนวทางข้างต้นนั้นเป็นเพียงความเห็นของกฤษฎีกาและจะหยุดปฏิบัติหน้าที่ก็ต่อเมื่อศาลปราบโกงมีคำสั่งให้หยุด
เมื่อใดที่ กกต.รับรองผลการเลือกตั้ง “ลุงชาญใจดี” ก็จะกลายเป็น “นายก อบจ.ชาญ” ที่อยู่ภายใต้บังคับตามกฎหมายผู้บริหารท้องถิ่น กฎหมาย ป.ป.ช. และภายใต้การกำกับดูแลของมหาดไทยตามกฎหมาย
ทางเลือกของ “นายก อบจ.ชาญ” จะมีดังนี้
(1) หยุดปฏิบัติหน้าที่
โดยทำตามแนวทางข้างต้นทันที รายงานให้นายอำเภอหรือผู้ว่าปทุมธานีทราบ ปลัด อบจ.ก็จะรักษาราชการแทนจนกว่าศาลปราบโกงจะมีคำพิพากษา
(2) ไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ อ้างว่าศาลไม่ได้สั่งหยุด
หากนายก อบจ.ชาญ เดินหน้าใช้อำนาจปฏิบัติหน้าที่ เช่น แต่งตั้งรองนายก อบจ.แบ่งงาน หรืออนุมัติโครงการใดๆ ฯลฯ ก็ย่อมจะสุ่มเสี่ยงว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ โดยเจตนาฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ ย่อมจะถูกมหาดไทยดำเนินการตามแนวทางข้างต้น และอาจถูกดำเนินคดีอาญา 157ซ้ำอีกด้วย
ล่าสุด ป.ป.ช.ยืนยันแล้วว่า การหยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น ไม่ต้องมีใครไปร้องหน่วยงานไหนอีก การหยุดเป็นไปโดยผลของกฎหมาย
(3) ลาออก
นายก อบจ.ชาญ อาจตัดสินใจทางการเมือง คืนอำนาจให้ประชาชน เลือกตั้งใหม่ เพื่อมิให้ประชาชนชาวปทุมธานีต้องเสียเวลา-เสียโอกาส รอจนกว่าคดีจะมีคำพิพากษา
การเลือกตั้งใหม่ พรรคเพื่อไทยก็ยังส่งผู้สมัครที่คุณสมบัติเหมาะสมลงแข่งขันได้
ทั้งหมด อยู่ที่ว่า นายก อบจ. ชาญ จะเลือกทางใด?จะทำเพื่อใคร หรือจะสู้เพื่อใคร
หรือจะเสี่ยงเพื่ออะไร?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี