วันเวลาในการพ้นโทษของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร กับวันเวลาในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ“เศรษฐา ทวีสิน” นั้น แยกกันไม่ออก
หากนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ผู้อยู่เหนือกฎหมายประเทศนี้พ้นโทษวันใด นั่นก็หมายถึงการนับถอยหลังในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ“เศรษฐา ทวีสิน”อดีตนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ผู้นี้
จับสำเนียงได้จากการที่นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “ในเดือนสิงหาคมผลงานรัฐบาลจะออกมาเป็นรูปธรรมมากขึ้น” นี้ก็หมายถึงเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ น.ช.ทักษิณจะพ้นโทษในวันที่ 21 สิงหาคม 2567 เมื่อพ้นโทษทักษิณก็สามารถออกยืนแถวหน้าและ“บงการ”รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยได้อย่างเต็มตัว
และเรื่องนี้สอดคล้องกับการขานรับอย่างสอดประสานของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีในฐานะ“ผู้จัดการรัฐบาล”ที่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อถูกถามว่า “เป็นไปได้หรือไม่หากนายทักษิณพ้นมลทินในเดือนสิงหาคมแล้ว จะเข้ามาช่วยงานพรรคเพื่อไทย” ซึ่งนายภูมิธรรมกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดความโดยไม่ลังเลชนิดที่ไม่ต้องใช้จินตนาการว่า “ถ้าท่านพ้นมลทินทั้งหมด ก็สามารถที่จะเข้าไปช่วยเหลือได้”
อย่างไรก็ดี เกือบหนึ่งปีบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำรัฐนาวาของ“เศรษฐา ทวีสิน” นอกจากจะไร้น้ำยาแล้ว ศักยภาพของภาวะผู้นำก็ไม่เป็นที่ประจักษ์
“เศรษฐา ทวีสิน” ไม่สามารถถอดคราบความเป็น“พ่อค้า”ได้ นอกจากอ่อนด้อยเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว คำว่า“กาลเทศะ”ซึ่งหมายถึงเวลาและสถานที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันเป็นตำแหน่งสูงสุดของผู้นำฝ่ายบริหาร ปรากฏว่าคนอย่างนายเศรษฐาก็แยกแยะไม่ถูก
ไม่เพียงแต่จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่จะหมิ่นเกียรติของตนเองเท่านั้น เกียรติของผู้อื่นนายเศรษฐาก็ยังไม่เคารพ ทั้งที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็คือ “ตำแหน่งข้าราชการชั้นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือน” ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ และเป็นประธานที่ประชุมเสนาบดีของฝ่ายพลเรือน
“นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด”ของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร—นามว่า“เศรษฐา ทวีสิน”ผู้นี้ แยกแยะไม่ถูกระหว่างพ่อค้าบ้านจัดสรรกับความเป็นนายกรัฐมนตรี นุ่งกางเกงยีนส์ขาลีบโดยกางเกงเกือบจะหลุดออกจากก้น เวลาเดินต้องคอยดึงรั้งขึ้นมาอยู่ที่เอวตลอดเวลา มิหนำซ้ำยังสวม“ถุงเท้าแดง-ถุงเท้ามีสี”ที่ต้องตามรสนิยมของตน ในยามที่ออกตรวจราชการในต่างจังหวัดและเดินสายเวิลด์ทัวร์ในต่างประเทศ หรือแม้แต่การออกรับแขกบ้านแขกเมือง
ในขณะเดียวกันเกือบหนึ่งปีผ่านไป ข้าวของแพงทั้งแผ่นดิน-เศรษฐกิจถดถอย แต่รัฐบาลชุดนี้กลับสาละวนอยู่กับโครงการ“ดิจิทัลวอลเล็ต” โดยไม่ยอมฟังเสียงคัดค้านจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะเสียงท้วงติงจากธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นว่า โครงการนี้“ได้ไม่คุ้มเสีย”
ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติโดย“นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เคยมีหนังสือเสนอแนะรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ถึงข้อน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับโครงการนี้ ว่าจะมีปัญหาตามมา อย่างน้อย 3 ประการด้วยกัน
ประการแรก—โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะก่อให้เกิดภาระทางการคลังจำนวนมากในระยะยาว ซึ่งถ้าหากไม่สามารถรักษาเสถียรภาพภาระหนี้ภาครัฐได้ จะเพิ่มความเสี่ยงที่ประเทศไทยด้วยการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ
ประการที่สอง—การดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ใช้วงเงินงบประมาณมูลค่าสูง จะทำให้ความสามารถในการดำเนินนโยบายการคลังอื่นของรัฐบาลลดลง และมีความเสี่ยงที่จะมีงบประมาณไม่เพียงพอรองรับในภาวะฉุกเฉิน โดยเฉพาะการเพิ่มวงเงินกู้งบประมาณปี 2568 จนเกือบเต็มกรอบที่กฎหมายกำหนด ทำให้เหลือวงเงินกู้ได้อีกราว 5 พันล้านบาท เทียบกับวงเงินคงเหลือเฉลี่ยในปีก่อนๆ ที่มากกว่า 1 แสนล้านบาท
ประการที่สาม--การจัดสรรวงเงินจากงบประมาณปี 2567 ทำให้งบกลางสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉิน หรือในกรณีที่จำเป็น ลดลงจนอาจไม่เพียงพอรองรับกรณีฉุกเฉินและกรณีจำเป็น ภายใต้สถานการณ์การเมืองโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง และภาวะภัยธรรมชาติที่มีความรุนแรงมากขึ้น
ข้อท้วงติงในสามประการดังกล่าวของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรที่มีหน้าที่หลักในการบริหารจัดการให้ระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศดำเนินไปอย่างไม่สุ่มเสี่ยง ไม่เพียงแต่รัฐบาลจะไม่ฟังเสียง แต่ยังพยายามกดดันธนาคารแห่งประเทศไทยในทุกทางให้สนองรับโครงการนี้ของรัฐบาล
และล่าสุดเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมเมื่อวานนี้ ภายหลังการประชุม“คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 1 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต” นายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะประธานคณะกรรมการชุดนี้ได้ออกมาแถลงและโพสต์ข้อความผ่านแอพพลิเคชั่น X ถึงความคืบหน้าของโครงการว่า “โครงการดิจิทัลวอลเล็ต”พร้อมเปิดลงทะเบียนในวันที่ 1 สิงหาคมนี้
ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน ได้กล่าวในรายละอียดจากการให้สัมภาษณ์ว่า “การประชุมวันนี้ ถือเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดลงทะเบียน และการดำเนินการในภาพรวมที่จะรองรับการใช้งานของประชาชนและร้านค้า โดยมีการมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ รวมไปถึงการลงรายละเอียดเงื่อนไขของการรับสิทธิ์ และมาตรการป้องกันการทุจริต การเรียกเงินคืนให้ชัดเจนขึ้นครับ”
สรุปก็คือ รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยและมีนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้“ชักใย”นั้น หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็จะเอาให้ได้กับโครงการนี้ และต้องแจกเป็น“เงินดิจทัล”เท่านั้นด้วย
คนไทยทั่วไปที่ไม่ได้กินหญ้าหรือกินแกลบจึงสงสัยและมีข้อกังขาว่า-โครงการนี้อาจะเป็นนโยบายทับซ้อนที่เพื่อสนองประโยชน์นักการเมืองและพ่อค้าบางตระกูลที่กำ“โทเคน”(Token) ไว้ในมือ
จึงมีความพยายามที่จะเล่นแร่แปรธาตุ เปลี่ยนเงิน“โทเคน”เป็นสกุล“เงินบาท”ที่ปรับลดจาก 5 แสนล้านบาทเป็น 4.5 แสนล้านบาท ณ เวลานี้ ให้ได้ ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี