ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยกับญี่ปุ่นก็ได้เริ่มมิตรไมตรีกันมาและมีความราบรื่น และอำนวยประโยชน์ให้แก่กันและกันมาโดยตลอดจนถึงบัดนี้ จุดรวมทางจิตใจและความนึกคิดของทั้งสองฝ่ายคือ ความเป็นราชอาณาจักร และความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างราชวงศ์ทั้งสอง ความมุ่งมั่นที่จะดำรงชีวิตอยู่ในโลกเสรีต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ และเข้าร่วมในการทำมาค้าขายในระบบการตลาดเสรี หรือแบบทุนนิยม
อีกทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายไทยมิได้เอาเรื่องความขมขื่นเจ็บปวดที่ฝ่ายญี่ปุ่นได้เข้ามารุกรานประเทศไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มาเป็นปัจจัยหรือเงื่อนไขของการฟื้นฟูความสัมพันธ์ และโดยทั่วไปคนไทยและคนญี่ปุ่นต่างมีมิตรจิตมิตรใจที่ดีต่อกัน
เมื่อย้อนประวัติศาสตร์ร่วมสมัยไปไม่นานปี ก็จัดได้ว่าประเทศญี่ปุ่นได้มีบทบาทสำคัญยิ่งกว่าประเทศพัฒนาอื่นๆ ในการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ทำให้ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนสภาพจากประเทศกสิกรรมล้าหลัง จากประเทศอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า ไปสู่อุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก มีผลให้ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นมาเป็นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่โดดเด่นก้าวหน้า
ในการนี้ก็จัดได้อีกด้วยว่า ญี่ปุ่นนั้นได้มีส่วนสำคัญในความสำเร็จของไทยในการต่อต้านการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในช่วงโลกยุคสงครามเย็น เป็นการปฏิเสธโดยสิ้นเชิงซึ่งทฤษฎีว่าด้วย Domino theory
ญี่ปุ่นได้เข้ามายื่นมือช่วยเหลือประเทศไทยทั้งทางด้านทุนการศึกษา เทคนิควิชาการ เงินให้เปล่าเงินกู้แบบผ่อนปรน และการลงทุนทางด้านอุตสาหกรรมการผลิต และอุตสาหกรรมการบริการ รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยฝ่ายเอกชนญี่ปุ่นได้ใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก ซึ่งนำรายได้มาให้อย่างมหาศาล ขณะที่ประเทศไทยได้เพิ่มรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตดังที่ทราบกันดีอยู่ ฉะนั้น ความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นจึงใกล้ชิดและอำนวยประโยชน์ต่อกันและกัน
แต่มาบัดนี้สถานการณ์หรือบริบทของโลกและภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรืออินโดแปซิฟิกได้เปลี่ยนแปลงไปอันสืบเนื่องมาจากการผงาดขึ้นมาของจีน และความประสงค์ที่จะกลับมาเป็นเจ้าโลก ล้มล้างความอดสูที่ได้รับจากการกระทำของฝ่ายตะวันตกเป็นเวลาร่วม 100 ปี (ตั้งแต่ช่วงกลางของศตวรรษที่ 19 จนถึงช่วงกลางของศตวรรษที่ 20 โดยประมาณ) ซึ่งนำไปสู่การแข่งขันชิงดีชิงเด่นระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา และในการนี้จีนก็เลยกลายเป็นภัยต่อความมั่นคงของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ และพึ่งพาสหรัฐฯ ในเรื่องความมั่นคง
จัดได้ว่าในช่วงประมาณ 10 ปีเศษๆ ที่ผ่านมานี้ญี่ปุ่นให้ความสนใจกับเรื่องความมั่นคงปลอดภัยเป็นลำดับแรก และมิได้กระชับความร่วมมือทางด้านความมั่นคงแค่กับสหรัฐฯ และเกาหลีใต้เท่านั้น แต่เริ่มกระชับความมั่นคงกับประเทศที่มีอุดมการณ์ร่วม และมองประเด็นปัญหาเกี่ยวกับจีนอย่างคล้ายคลึงกัน เช่น ออสเตรเลียและอินเดีย และเห็นว่าไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เป็นรัฐด่านหน้า (Front line state) ที่ต้องเผชิญหน้ากับจีน และฉะนั้น ญี่ปุ่นจำเป็นที่จะต้องให้การช่วยเหลือสนับสนุน
ในการนี้ประเทศไทยซึ่งเดิมเป็นรัฐด่านหน้าต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ ก็มิใช่รัฐด่านหน้าอีกแล้ว เราได้กลายเป็นรัฐที่มีความสำคัญในแง่ความมั่นคงของญี่ปุ่นรองจากฟิลิปปินส์และเวียดนาม อีกทั้งความร่วมมือทางด้านเอกชนระหว่างไทยกับญี่ปุ่นซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของอุตสาหกรรมรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และไฟฟ้านั้นก็มีคู่แข่งมากขึ้น และจนบัดนี้บริษัทยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นทางด้านยานยนต์ก็ยังมิได้ตัดสินใจว่าจะผลิตรถยนต์แบบใดในอนาคต เพื่อให้ไปได้กับการแก้ไขปัญหาโลกร้อน ในขณะที่จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศชั้นนำในเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า และเวียดนามสามารถร่วมลงทุนกับเอกชนอเมริกันในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในการส่งออกได้แล้ว ซึ่งก็หมายความว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยดูจะมีอนาคตที่ไม่แน่นอน และจะมีผลกระทบต่อการว่าจ้างแรงงานไทยและการส่งออกของไทยอย่างใหญ่หลวง
ในขณะเดียวกันฝ่ายไทย ทั้งฝ่ายรัฐบาลและเอกชนก็ยังมิได้มีการหารือกันเลยว่า ไทยเราจะปรับกระบวนยุทธ์กำหนดทิศทางใหม่ๆ อย่างไร และจะร่วมมือกับฝ่ายญี่ปุ่นในแขนงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมทั้งชีวภาพ และอาหารกันอย่างไร ซึ่งหากฝ่ายไทยจะรอให้ฝ่ายญี่ปุ่นมาเสนอแนะบอกกล่าวก็ดูกระไรอยู่ อีกทั้งจิตใจของญี่ปุ่นก็ดูมุ่งไปที่เรื่องความมั่นคงดังกล่าว และมีข้อตระหนักลึกๆ ว่า ในเรื่องเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวนั้นไทยดูให้ความสนใจต่อจีนมากกว่า
สรุปได้ว่า ไทยกับญี่ปุ่นในวันนี้ได้เริ่มเหินห่างกัน (Drifting apart) แต่ความรู้สึกนึกคิด (awareness)ของการเปลี่ยนแปลงของบริบทระหว่างประเทศ และผลกระทบยังไม่ได้มาถึงซึ่งความรู้สึกนึกคิดของฝ่ายไทย ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง และจะปล่อยให้สถานการณ์ล่องลอยไปอย่างนี้ก็คงไม่เป็นการสมควร ก็หวังว่าแวดวงการเมือง แวดวงวิชาการ แวดวงธุรกิจของไทย จะได้ตื่นตัวหรือตื่นจากภวังค์ และเริ่มคิดอ่านทำการที่ควรเป็นเสียที
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี