ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้ลงคะแนนไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2562 ในการลงประชามติ เพราะเห็นว่าร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้นไม่มีความเป็นประชาธิปไตยแบบสากลสมบูรณ์แบบ ดังนั้น ผมจึงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลังจากนั้น รวมทั้งได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับการที่พรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจไปเข้าร่วมในรัฐบาลผสม ที่นำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ที่เคยนำการปฏิวัติรัฐประหาร และเป็นผู้สืบทอดอำนาจของตนเอง
และในปี พ.ศ.2566 ผมก็มีความคับอกคับใจต่อการที่นายเศรษฐา ทวีสิน ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะนายเศรษฐา ทวีสิน นั้นมิเคยมีประสบการณ์ด้านการเมือง ขาดทั้งประสบการณ์ และอุดมการณ์ และที่สำคัญเป็นที่รู้กันว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นั้นรับหน้าที่เป็นเพียง“หุ่นเชิด” (Proxy) ไม่ได้มีความเป็นตัวของตัวเองแต่อย่างใดทำให้ความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นของประชาชนพลเมืองจึงมิได้เกิดขึ้น และไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้
ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน บริหารราชการแบบดันทุรัง ยึดมั่นถือมั่น และไม่ฟังเสียงประชาชนที่คัดค้านในเรื่องโครงการยักษ์ใหญ่ (Mega Project) เช่น โครงการสะพานบกเชื่อมระหว่างทะเลอันดามันกับอ่าวไทย โครงการกาสิโนถูกกฎหมาย และโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ที่ขาดการเตรียมการตั้งแต่ระดับภายในพรรคเพื่อไทย ส่งผลให้การขับเคลื่อนเป็นไปอย่างทุลักทุเล และเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ โดยทางเลือกที่จะใช้เงินหลายๆ แสนล้านบาท ยังมีอีกมากมายที่จะอำนวยให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ โดยเฉพาะเพื่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของไทย
ทุกคนโดยเฉพาะที่อยู่ในแวดวงการเมืองต่างก็ตระหนักว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้ยึดรั้งและบั่นทอนความเจริญก้าวหน้าของความเป็นสังคมประชาธิปไตยของไทย แต่ก็ขาดความกระตือรือร้นที่จะเร่งรีบแก้ไข สะท้อนว่าแวดวงการเมืองส่วนใหญ่ของไทยนั้นพึงพอใจกับกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ต่างขาดอุดมการณ์อย่างแท้จริง และต่างคนต่างดูจะได้ประโยชน์จากโครงสร้างและสาระเนื้อหาของกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับนี้กันถ้วนหน้า
นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน บริหารราชการในเชิงประชาสัมพันธ์ หรือโฆษณาชวนเชื่อมากกว่าที่จะลงรายละเอียดประเด็นปัญหาของบ้านเมือง เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและกำหนดทิศทางที่จะให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากสภาวะความเหลื่อมล้ำในสังคม การใช้อำนาจโดยมิชอบ และการทุจริตคอร์รัปชั่น และหลุดพ้นจากสภาวะถดถอยของขีดความสามารถของประเทศไทยในการแข่งขันในเวทีระหว่างประเทศ และการวางตัวให้เป็นที่เคารพนับถือและเชื่อมั่น
ซึ่งในทางปฏิบัติ ก็ยังไม่มีภาพหรือข่าวคราวออกมาว่า นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ได้มีการปรึกษาหารือกับฝ่ายข้าราชการระดับสูง และฝ่ายเอกชนต่างๆ อย่างลึกซึ้งจริงจังว่าจะร่วมกันแก้ไขประเด็นปัญหาที่ท้าทายต่างๆ ของประเทศไทย และนำพาประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างไร ทั้งที่นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ก็เติบโตมาจากครอบครัวเศรษฐกิจระดับใหญ่ เป็นผู้เสียภาษีอย่างมาก ก็รู้ว่าการต้องติดต่อกับภาคราชการนั้นเป็นอย่างไร และจะปรับปรุงแก้ไขได้อย่างไร แต่ก็มิได้แสดงความคิดเห็นให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม
นอกจากนั้น คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำพาของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ก็ดูขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียว หรือ Teamspirit ต่างคนต่างอยู่ และรัฐมนตรีแต่ละคนดูจะพึงพอใจว่า บัดนี้มีเกียรติประวัติว่าได้เป็นรัฐมนตรีแล้ว แต่มิเคยได้แสดงออกซึ่งอุดมการณ์และความคิดเห็น ที่จะนำพาบ้านเมืองแต่อย่างใด โดยศัพท์ภาษาอังกฤษใช้คำว่า (Faceless ; Lack of Idea and Vision)
ในโลกกว้าง ประเทศไทยตกจากสถานะประเทศกำลังพัฒนาชั้นแนวหน้า ไม่ได้อยู่ในสายตาและความสนอกสนใจของมิตรประเทศเสมือนช่วงยุคสงครามเย็นแต่จะไปโทษประชาคมโลกก็มิได้ เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าประเทศไทยจะทำตนอย่างไร และก็ยังตั้งทิศไม่ได้ ก็เพราะนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน และคณะรัฐมนตรีไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้ซึ่งสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศ
ประเทศไทยก็คงจะยังไม่ล่มสลาย เนื่องจากพ่อขุนรามคำแหงได้สถาปนาชาติไทยขึ้นบนผืนแผ่นดินสุวรรณภูมิ ที่เป็นภูมิศาสตร์อันจะทำให้ประเทศไทยมีภาษีที่จะดำรงตนเองอยู่ไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็คงจะไม่โดดเด่นและก้าวหน้าทัดเทียมประเทศอื่นๆ เพราะประเทศไทยติดกับกับการไร้ซึ่งฝีมือ และสติปัญญาของผู้นำทางการเมือง และความขะมักเขม้น เอาจริงเอาจัง ของฝ่ายราชการระดับสูง
ประชาชนพลเมืองก็ทำได้แต่เรียกร้อง อย่างเก่งก็ได้แค่ออกมาชุมนุมและประท้วงชั่วครั้งชั่วคราว แต่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นจริง ก็คงต้องเป็นเรื่องการปฏิวัติสังคม ซึ่งก็มิใช่เรื่องง่าย และคงไม่จำเป็น ถ้านายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน และบรรดาผู้นำทางการเมืองต่างๆ จะพึงได้สติ หลีกทางให้คนรุ่นใหม่ รุ่นหนุ่มรุ่นสาว ได้เข้ามาบริหารบ้านเมือง ซึ่งแม้จะยังไม่สามารถจะคาดเดาได้ว่า เขาเหล่านั้นจะทำการเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติได้มากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่นอนว่า บรรดาเหล้าเก่า แม้จะเปลี่ยนขวดใหม่ๆ ไปกี่ขวด ก็ยังเป็นเหล้าเก่าหมดสภาพอยู่ดี สมควรจะโยนทิ้งกันไป แล้วเปลี่ยนใหม่เท่านั้น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี