เรื่องเงินเดือนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถูกนำเสนอพูดกันในสภาเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ.2476 ดังที่นำเสนอไปแล้ว ปรากฏว่าการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งต่อมา ในวันที่ 13 กรกฎาคม พระยาพหลฯ นายกรัฐมนตรีได้แถลงว่า
“เรื่องเงินเดือนคณะรัฐมนตรีชุดก่อนได้ประชุมปรึกษาลงมติ ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเป็นตำแหน่งการเมืองซึ่งย่อมเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย จึงควรมีอัตราเงินเดือนชั้นเดียวคือ 1,500 บาทเท่ากันหมด ส่วนรัฐมนตรีที่มิได้ว่าการกระทรวงนั้น ควรมีเงินเดือนเพิ่มพิเศษสำหรับตำแหน่งเป็นเกียรติยศเดือนละ 200 บาท พระยามโนฯ นายกรัฐมนตรีชุดก่อนจึงได้นำความกราบบังคมทูลแล้ว ทรงมีพระราชดำริเห็นชอบด้วย จึงได้จัดการไป แต่เรื่องนี้หาได้นำขึ้นเสนอสภาฯไม่ เพราะเวลานั้นเป็นเวลาที่สภาถูกปิด เพราะฉะนั้นจึงนำเสนอในวันนี้ เพื่อจะได้ขอให้ที่ประชุมรับรองในกิจการนี้ด้วย”
นอกจากนี้พระยาพหลฯ ยังนำเสนอต่ออีกว่า
“ขอชี้แจงบันทึก ซึ่งนายกรัฐมนตรีเก่าได้กราบบังคมทูลพระกรุณาไว้ คือสมัยรัฐบาลก่อนวันที่ 24 มิถุนายน คือในครั้งยังเป็นAbsolute Monarchy
เงินเดือนเสนาบดีมีอัตรา 2,000 บาทถึง 3,000 บาท และการเลื่อนเพิ่มเงินเดือนนั้นเป็นโดยพระบรมราชโองการ ที่นี้มาในสมัยวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้เปลี่ยนอัตราเงินเดือนเสนาบดี คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเป็น1,200 บาท ถึง 1,500 บาท เมื่อได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ก็โปรดเกล้าฯ ว่าอาจจะมีผลดีจะลองดูก็ได้ไม่ขัดข้อง แต่ก็ทรงแสดงความเห็นว่าไม่เห็นด้วย ทีนี้มาในสมัยรัฐบาลวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 คณะรัฐมนตรีเห็นว่าตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเป็นตำแหน่งการเมือง ซึ่งย่อมเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยจึงควรมีอัตราเงินเดือนชั้นเดียวคือ 1,500 บาทเท่ากันหมด ส่วนน้ำที่มิได้ว่าการกระทรวงนั้นมีเงินเพิ่มพิเศษสำหรับตำแหน่งเป็นเกียรติยศเดือนละ 200 บาท…”
ปรากฏว่าพระยาประมวญวิชาพูล สงสัยว่า “ตามพระราชบัญญัติ ที่แก้ไขใหม่ได้เทียบรัฐมนตรีกับเสนาบดี เมื่อเช่นนี้ก็น่าจะกินความรวมถึงรัฐมนตรีทุกคน ไม่เจาะจงว่าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่จะต้องได้เดือนละ 1,500 บาท จึงสงสัยว่าถ้าจะตีความเช่นว่าแล้วจะผิดความประสงค์ไปกระมัง” มีผู้เห็นด้วยไปในทางเดียวกันกับพระยาประมวญ และได้ลุกขึ้นอภิปราย
หลวงวิจิตรวาทการ ยกประเด็นเพิ่มเติมที่น่าสนใจว่า “บางทีเราจะลืมนึกถึง คือนายกรัฐมนตรีอาจไม่ว่าการกระทรวงใดก็ได้ แต่ที่จะให้ 200 บาท สำหรับนายกรัฐมนตรีนั้น ดูเป็นการอยุติธรรม เพราะฉะนั้นจึงขอเสนอญัตติว่าสำหรับนายกรัฐมนตรีถึงแม้ว่าจะไม่ว่าการกระทรวง ก็ควรได้เงินเดือนเท่ากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเหมือนกัน”
นายมังกร สามเสน เห็นว่า “เรื่องนี้ต้องร่างเป็น พระราชบัญญัติ…”
นายกรัฐมนตรีก็เห็นด้วยตามที่นายมังกรว่า เพียงแต่ท่านขอว่า “แต่เวลานี้อยากจะพูดถึงว่า เขาได้เริ่มใช้อัตราเงินเดือนในเรื่องนี้มาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่แล้ว อยากจะให้ตกลงไปเสียทีหนึ่งก่อน ส่วนที่จะออกเป็นพระราชบัญญัติต่างๆ เหล่านี้ จะทำต่อเมื่อภายหลัง…”
หลังจากนั้นได้มีการอภิปรายในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงใดพร้อมกันไปด้วยหรือไม่ ก็ควรจะได้รับเงินเดือนไม่น้อยกว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวง แต่พระยาพหลฯท่านไม่ยอม ท่านว่า “ที่จริงความประสงค์ที่ทำงานตำแหน่งนี้ต่อไปไม่ประสงค์ที่จะมาเพิ่มเงินเดือน นี่พูดโดยแท้จริง เงินเดือนที่ได้มาไม่ใช่เป็นเงินของใครเป็นของที่ได้มาจากราษฎรส่วนมาก” จนประธานสภาต้องขอพักการประชุมให้หารือตกลงกันก่อน
ท้ายที่สุด ประธานรัฐสภาได้สรุปความว่า “เสนอให้ที่ประชุมรับรู้ ถึงการกระทำของรัฐบาลเก่า ในเรื่องเงินเดือนที่กล่าวนี้ ซึ่งจะได้ถือจ่ายต่อไปเท่านั้น” คือรับรู้ถึงการจ่ายย้อนไปตั้งแต่ต้นปี
นรนิติ เศรษฐบุตร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี