ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประกาศตนเป็นปฏิปักษ์กับทักษิณ ชินวัตร
และก็ไม่ใช่นักการเมืองคนแรก ที่เคยเป็นพลพรรค แล้วออกมาทำทีแข็งข้อ แฉสารพัดเรื่อง
แต่สุดท้าย ก็ไม่มีน้ำยาที่จะทำอะไรทักษิณได้จริงๆ จังๆ
1. ดูเหมือนฝ่ายทักษิณไม่ได้ยำเกรง หรือให้ราคาอะไรเลยด้วยซ้ำ
เพราะแถลงข่าวจบแป๊บเดียว ปรากฏว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรค พท. ได้ลบ ร.ต.อ.เฉลิม ออกจากกลุ่มไลน์ของสส.พรรค พท. ทันที
เรียกว่า เตะพ้นกลุ่มไลน์
แบบไม่เกรงใจ ไม่ไว้หน้า
2. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ขู่ว่าจะทำหน้าที่ในสภาด้วยบทบาทที่เปลี่ยนไปหลังจากนี้
คือ ตัวเป็น สส. เพื่อไทย
แต่บทบาทหลังจากนี้ ให้นัยแก่สื่อมวลชนว่า น่าจะพุ่งเป้าโจมตีทักษิณและพรรคเพื่อไทย
“ผมไม่เคยสร้างตัวเองให้ร่ำรวยในทางการเมือง ผมเคยสร้างมนุษย์บางคนจากที่ไม่มีอะไร จนร่ำรวยๆ ผมไม่อยากบอกชื่อ แต่ทุกคนคงรู้”
นี่พูดกึ่งขู่กึ่งแฉ
นักข่าวถามว่า จะวางตัวเป็นฝ่ายค้านอิสระใช่หรือไม่?
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า อย่าใช้คำว่าฝ่ายค้านอิสระเลย ใช้คำว่าเฉลิมอิสระดีกว่า ตนตรงไปตรงมา ไม่ใช่ป่วยแล้วบอกไม่ป่วย ไม่ป่วยแล้วแกล้งป่วย
เมื่อถามว่า ขณะนี้ความสัมพันธ์กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยังถือว่าดีหรือไม่?
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า “ชื่อยังไม่อยากได้ยิน ไม่มีแตกหัก เขาจะมาแคร์อะไรผมแต่พร้อมดีเบต ซึ่งตอนที่อยู่ต่างประเทศก็คุยกันตลอด ไม่คุยกันก็ตอนที่กลับมา และผมไม่อยากเปิดประตูความสัมพันธ์ หากจะพูดว่าใครมีบุญคุณต่อกัน ไม่มีใครรู้แต่ผมรู้ ฟ้าดินรู้ ใครมีบุญคุณกับใคร”
จากนั้น ร.ต.อ.เฉลิมขู่ว่า นอกจากตน ใครจะรู้ว่านายทักษิณเคยไปนั่งที่ อสมท ใครจะรู้ว่าใครเป็นคนอนุมัติสัมปทานเคเบิ้ลทีวี IBC ให้นายทักษิณ ไม่มีใครมีบุญคุณต่อกันและที่พูดก็ไม่ได้เพื่อเอาบุญคุณ
3. ไม่อยากจะขัดอารมณ์คอการเมือง ที่คาดหวังว่าจะเห็น ร.ต.อ.เฉลิม
ดับเครื่องชนทักษิณ
เอากันให้พังไปข้างหนึ่ง
แต่ถ้าย้อนไปดูพฤติกรรมในอดีต จะเห็นว่า มีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดการทะลวงไส้แบบเอาเป็นเอาตาย
ร.ต.อ.เฉลิมไม่ใช่นักสู้แบบนั้น
แต่มีลักษณะนักอย่างอื่น
ครั้งก่อน ออกมาอภิปรายลากไส้ธรณีสงฆ์อัลไพน์ สุดท้าย ก็จบไปแบบไม่มีอะไร กลับมาอยู่พรรคเพื่อไทย เป็นลูกน้องลูกของทักษิณอีกที
4. อีกคนที่เคยเล่นบทบาทคล้ายกัน ก็นายเสนาะ เทียนทอง นั่นไง
วันนี้ ลูกชายเป็นใหญ่ในพรรค
แต่อดีต นายเสนาะ เทียนทอง ก็เคยประกาศชนทักษิณมาแล้ว
ตอนนั้น ก็แฉสารพัด ทั้งนายใหญ่ นายหญิง
ในหนังสือ รู้ทันทักษิณ 4 นายเสนาะเขียนบทความเรื่อง จะเอาทักษิณหรือประเทศไทย
นายเสนาะเล่าว่า...
รู้จัก พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่ปี 2529 แบบผิวเผิน
ตั้งแต่เป็นนายตำรวจติดตามรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณพยายามสร้างความสัมพันธ์กับหัวหน้าพรรค คือทำธุรกิจกับการเมืองวิ่งเต้นเข้าทางผู้ใหญ่สูงสุดของพรรค
ต่อมา ตนย้ายไปเป็นเลขาธิการพรรคความหวังใหม่
พ.ต.ท.ทักษิณได้สนับสนุนปัจจัยการเมืองผ่านไปทาง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ในขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณจึงได้เข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรี
เมื่อก่อนเกิดวิกฤตค่าเงินบาท นายอำนวย วีรวรรณ รมว.คลังในขณะนั้นลาออก
มีการคิดกันว่าจะให้ตำแหน่งนี้กับ พ..ต.ท.ทักษิณด้วยซ้ำ ตนได้ไปทาบทามคนที่น่าเชื่อถือในสังคม โดย นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รับปากว่าจะเข้ามาช่วยเป็นรมว.คลัง
ปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณไปนำนายทนง พิทยะ ผู้บริหารธนาคารทหารไทยมารับตำแหน่งนี้แทน โดยที่ตนไม่รู้เรื่อง
พ.ต.ท.ทักษิณ ไปซุบซิบกับ พล.อ.ชวลิต และนายโภคิน พลกุล อดีต รมต.สำนักนายกฯ แล้วจึงมีคำสั่งแต่งตั้งนายทะนง
คนที่เกี่ยวข้องกับการลดค่าเงินบาทในขณะนั้นมี 4 คน คือ พล.อ.ชวลิต พ.ต.ท.ทักษิณ นายทนง และนายโภคิน ส่วนจะรู้เห็นกันขนาดไหนผมไม่รู้ อันนี้ไม่มีใบเสร็จ
“แต่ถ้าถามผมว่าผลที่เกิดหลังค่าเงินบาทลอยตัวออกมาอย่างไร มันส่อชัดว่าทักษิณและบริษัทรอดวิกฤตคนเดียวคือผลลัพธ์มันสะท้อนชัดอยู่แล้ว
การที่มีคนไปซื้อประกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินบาทเอาไว้มากๆ หรือไปซื้อดอลลาร์เอาไว้มากๆ ก่อนประกาศลอยค่าเงินบาท ก็เหมือนจุดไฟเผาบ้านตัวเองเพื่อเอาเงินประกัน
เศรษฐกิจของชาติพังเสียหาย แต่ตัวเองรอดพ้นวิกฤตเพราะได้ประกัน”
นอกจากนี้ นายเสนาะยังบอกด้วยว่า
“การจดทะเบียนคนจนนั้น ผมเคยแนะนำว่ามันทำไม่ได้ ไปประกาศเฉยๆ ไม่ได้เอามาขึ้นทะเบียนเฉยๆ คนที่เป็นหนี้สินอยู่ที่ไม่ใช่คนจนก็ไปจดทะเบียนด้วย มันจะบานปลายไปใหญ่ พี่ไม่เห็นด้วย มองด้วยจิตสำนึกมันปฏิบัติไม่ได้ มันได้แค่โชว์ตัวเลขตอนเลือกตั้งจากนั้นไม่มีผลจริง
แต่ทักษิณตอบว่า โธ่...พี่เหนาะ คนตาบอดมันกลัวเสือหรือ ถ้าเราไม่พูดแบบนี้เราจะได้เสียงเหรอ”
เขาพูดอย่างนี้แสดงว่าไม่ได้จริงใจกับนโยบาย ประกาศไปก่อนค่อยหาวิธีการทำการตลาดทีหลัง ไปเสี่ยงเอาข้างหน้าขอให้ได้คะแนนเสียงไว้ก่อน ไม่สนวิธีปฏิบัติราชการ
แม้แต่โครงการ เอสเอ็มแอล ผมก็เตือนว่าเข้าข่ายซื้อเสียง เพราะอยู่ในภาวะเลือกตั้ง ทักษิณตอบว่า “โธ่...อำนาจอยู่ที่เรา กกต.ก็คนของเรา”
นายเสนาะยังบอกเล่าด้วยว่า ยุคโน้น มีการใช้ระบบธุรกิจครอบครัวมาจัดการผลประโยชน์ในรัฐบาลแบบเบ็ดเสร็จ ตั้งแต่ขนคนที่เคยทำงานกับตัวเองในบริษัทแบบยกชุด วางคนของตัวเองไปในทุกกระทรวง โดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งที่มีอำนาจอย่างเป็นทางการ แต่ทุกคนในกระทรวงจะรู้ดีว่า คนคนนี้คือคนของเขา จะทำอะไรก็ต้องผ่านคนคนนี้
เรียกว่า มีสองสามคนไปดูแลผลประโยชน์ทุกกระทรวง เป็นเสมือนหลงจู๊
แล้วยังส่งคนไปยึดตำแหน่งใน กมธ.ชุดต่างๆ ของสภาผู้แทนฯ
ใน ครม.ก็ไม่ต่างกัน ทุกโครงการที่จะมีการอนุมัติ ถ้ารัฐมนตรีคนไหนเสนอเรื่องขอใช้งบกลางที่จัดสรรไว้มหาศาล ก็ต้องไปเคลียร์กับคนของเขาให้เรียบร้อยก่อน
รัฐมนตรีหลายคนจะมีคนของเขาเข้ามาบอกว่าเดี๋ยวทำงบฯ จะเอากี่พันล้าน แต่ต้องเอาเข้าพรรค 10 เปอร์เซ็นต์
หมายความว่าจะไปทำอะไรขึ้นมาก็ได้ ไปเขียนโครงการมา เวลาทำโครงการก็ต้องจ้างที่ปรึกษาที่เป็นคนของตัวเอง
แล้วใช้วิธีที่เก่งที่สุด คือ ยกเว้นระเบียบพิเศษ ยิ่งใช้วิธีขีดเส้นตายว่าต้องเสร็จวันนั้นวันนี้ เหมือนกรณีสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อจะได้ใช้วิธีจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ
รัฐมนตรีต้องทำโครงการ โดยตบแต่งงบประมาณขึ้นมาก่อนว่า มูลค่าของโครงการจะครอบคลุม 10 เปอร์เซ็นต์ที่ต้องหักเข้าพรรค
จากนั้นไปตกลงกับคนของเขาผ่านคุณหญิง เรียบร้อยเมื่อใดก็ส่งมาให้ตัวตายตัวแทนทางการเมืองที่เขาไว้ใจ
พอเข้า ครม. นายกฯ จะเสนอโครงการและอนุมัติให้เองเสร็จสรรพ รัฐมนตรีไม่ต้องคิด ไม่ต้องสงสัย
นายเสนาะบอกว่า “ผมเคยพูดกับคุณหญิง...ว่า “น้อง ถ้ามันได้มาอีกแสนล้านเอาไปทำไม” เขาพากันตอบว่า “ก็รู้ แต่ในเมื่อเล่นการเมืองมันต้องควักเงิน ก็ต้องถือว่าเป็นธุรกิจ” เคยเตือนหนักๆ ถึงขั้นว่า “ในอนาคต ถ้ามันจะเดือดร้อนหนักๆ คือคนเป็นหัวนะ” คุณหญิง...เขาก็ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ก็รู้ แต่ถ้าพี่ทักษิณจะลงต้องให้พรรคไทยรักไทยมีอำนาจอย่างน้อยสองสมัยถึงจะปลอดภัย”
....
เรื่องราวข้างต้น เป็นความจริงหรือไม่ ต้องไปถามนายเสนาะ เทียนทอง เพราะเป็นคนแฉไว้เอง
ปัจจุบัน นายเสนาะก็กลับเข้าไปอยู่พรรคเพื่อไทยนั่นเอง
เพราะฉะนั้น ใครจะไปคาดหวังว่า คนอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม จะออกมาต่อสู้จริงจัง ก็เชิญหวังไป
แต่ถ้ารู้พฤติกรรมในอดีตของคนเหล่านี้ จะขอบอกว่า อย่าเสียเวลาไปหวังเลย
ถ้าแน่จริง ขอท้าให้ ร.ต.อ.เฉลิม ออกมาแฉทักษิณจริงๆ จังๆทำประโยชน์ให้กับประเทศส่วนรวมจริงๆ
จะยกเป็นวีรบุรุษในบั้นปลายของชีวิตเลย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี