ผมกำลังพูดถึงคู่ชิงชัยใหม่ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ วันที่ 5 พฤศจิกายน ปลายปีนี้ ถ้านางกมลา แฮร์ริส ได้รับการเลือกให้เป็นแคนดิเดตแทน โจ ไบเดน ในการประชุมสมัชชาใหญ่ พรรคเดโมแครต (DemocratNational Convention) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “DNC” ซึ่งจัดขึ้นทุก 4 ปี DNC 2024 ปีนี้จัดขึ้นที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ เป็นระยะเวลา 4 วัน ระหว่างวันที่ 19 - 22 สิงหาคม นี้
การถอนตัวของไบเดน (81 ปี) เปิดโอกาสให้นางแฮร์ริส (60 ) กลายเป็นว่าที่แคนดิเดตคนใหม่ของเดโมแครตที่จะมาสู้กับนายทรัมป์ (78 ) ทำให้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้มีสีสันและน่าติดตามมากขึ้นกว่าศึกล้างตาระหว่างสองผู้เฒ่าหน้าเก่า จากเมื่อสี่ปีที่แล้ว
ด้วยการที่ทั้งคู่มีพื้นเพต่างกันมาก นางแฮร์ริสเป็นอเมริกันผิวสี บิดาเป็นชาวจาเมกา มารดาเป็นอินเดีย โดยสองคนนี้พบกันตอนมาเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ในช่วงทศวรรษ 1960 ในยุคนั้น เบิร์กลีย์เป็นศูนย์กลางของขบวนการทางสังคมในสหรัฐ บิดา-มารดาของแฮร์ริสพบรักกันในระหว่างที่เข้าร่วมขบวนการนักศึกษาในการเคลื่อนไหวทางสังคม เพื่อเรียกร้องสิทธิ ความเสมอภาคเท่าเทียมกันให้กับคนผิวสี ชนชั้นล่างผู้ยากไร้ และคนกลุ่มน้อยต่างๆ ในสังคมอเมริกัน
สมัยเด็กแฮร์รีสย้ายโรงเรียนอยู่บ่อยๆ เพราะตามบิดาและมารดาที่ต้องตระเวนไปสอนหนังสือและทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะที่ รัฐอิลลินอยส์ วิสคอนซิน วอชิงตัน ดี.ซี. และมอนทรีออล ประเทศแคนาดา ภายหลังบิดาแฮร์ริสได้เป็นศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ผิวสีคนแรกของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เธอจึงได้กลับมาปักหลักอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย
หลังจบจากโรงเรียนกฎหมาย มหาวิทยาลัย แคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก แฮร์ริสทำงานในสายอัยการมาตลอด เริ่มตั้งแต่พนักงานอัยการ เมืองโอ๊คแลนด์
ต่อมาได้รับเลือกตั้งเป็น อัยการหญิงผิวสีคนแรกของเขตซานฟรานซิสโก อัยการสูงสุด รัฐแคลิฟอร์เนีย วุฒิสมาชิก สหรัฐ และรองประธานาธิบดีหญิงผิวสีคนแรกของสหรัฐในสมัยไบเดน
จากประสบการณ์การเป็นอัยการ 30 กว่าปีในเมืองที่มีอาชญากรรมสูงอันดับต้นๆ ของสหรัฐ อย่างโอ๊คแลนด์และซานฟรานซิสโก ตรงนี้ทำให้ลึกๆ แล้ว ทรัมป์ก็คงเกรงแฮร์รีสอยู่ไม่น้อย ถ้าจะต้องมีการดีเบตกัน เพราะอย่าลืมว่าทุกวันนี้ ทรัมป์มีคดีอาญาติดตัวอยู่ 4 คดี รวมๆ แล้วกว่า 90 ข้อหา ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยหนึ่งคดีได้ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดในคดีอาญาเรียบร้อยไปแล้ว 34 กระทง คือ คดีปลอมแปลงเอกสารบันทึกทางธุรกิจโดยมีเจตนาฉ้อฉลเพื่อปกปิดอาชญากรรมอื่น จากกรณีการจ่ายเงินปิดปากนักแสดงภาพยนตร์สำหรับผู้ใหญ่ เพื่อปกปิดความสัมพันธ์ในอดีต แต่ศาลยังไม่กำหนดโทษ และพึ่งประกาศขอเลื่อนประกาศการกำหนดโทษทรัมป์ในคดีดังกล่าวออกไปอีก จนถึงกลางเดือนกันยายนนี้
และแน่นอน ทรัมป์คงใช้ลีลาเดิมๆ มาโจมตีแฮร์ริส ด้วยการถากถางชาติกำเนิด ความเป็นผู้หญิงผิวสี ไปจนถึงสร้างข่าวปลอม พูดความจริงบางส่วน บิดเบือนข้อมูลประวัติการทำงานในช่วงที่เธอทำงานเป็นอัยการเพื่อสร้างภาพความเกลียดชังในตัวแฮร์ริสให้กับกลุ่มผู้สนับสนุนเขา
สำหรับพื้นเพและความเป็นตัวตนของทรัมป์นั้นคงไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะทราบดีกันอยู่แล้วว่าเป็นลูกเศรษฐี เกิดมาบนกองเงินกองทอง เป็นเด็กสปอยล์ (spoilt child) พอเรียนจบ พ่อก็ให้เงินมาหนึ่งล้านดอลลาร์เพื่อเอาไปทดลองลองทำธุรกิจ ส่วนลักษณะนิสัยใจคอ ถ้าจะกล่าวอย่างรวบรัด ก็ขอเอาคำพูดของ เจ. ดี. แวนซ์ (J.D. Vance) วุฒิสมาชิกสมัยแรก อายุ 40 ปี จากรัฐโอไฮโอ running mate หรือ คู่ชิงรองประธานาธิบดีที่ทรัมป์เลือกมากับมือที่เคยให้สัมภาษณ์และพูดถึงทรัมป์ไว้ ก่อนที่จะได้เป็นวุฒิสมาชิก พรรครีพับลิกัน (พรรคที่ทรัมป์เป็นผู้นำอำพรางอยู่) เช่น เรียกทรัมป์ว่า....ไอ้บ้า (cynical asshole) ...โคตรโกง(total fraud) ....ความย่อยยับทางศีลธรรม (moral disaster)…..อเมริกันฮิตเลอร์ (American’s Hitler).....นักลวนลามทางเพศ (serial sexual assault) ...เป็นหนึ่งในคนที่ถูกเกลียดชังมากที่สุดของสหรัฐอเมริกา (one of USA’s most hated)...ไปจนถึงเคยเปรียบเทียบทรัมป์ว่าเป็น...สารเสพติดประเภทเฮโรอีนหรือโอปิออยด์(ยาระงับอาการเจ็บปวดต่างๆ ซึ่งถูกจัดเป็นสารเสพติดประเภทหนึ่งที่คนอเมริกันติดกันมาก) ที่ชนชั้นกลางอเมริกันขาดไม่ได้.....
แต่ภายหลังจากที่ทรัมป์เลือก เจ. ดี. แวนซ์ เป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดีแล้ว แวนซ์ก็ออกมาบอกว่า..แต่ก่อน เขาเข้าใจทรัมป์ผิดไป...และตอนนี้ แวนซ์ก็ได้ลบถ้อยคำหรือข้อความต่างๆ ข้างต้นที่เคยเขียนถึงทรัมป์ลงในโซเชียลมีเดียออกไปหมดแล้ว
จะว่าไปแล้วนักการเมืองแบบ เจ. ดี. แวนซ์ นั้นก็ไม่ต่างจากนักการเมืองไทย และในความเป็นจริงแล้วการเมืองอเมริกันมีนักการเมืองกเฬวรากประเภทนี้เยอะมาก อันไม่ต่างจากการเมืองไทยอีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น
นางมาร์จอรี เทย์เลอร์ กรีน สส. รัฐจอร์เจีย, นายจิม จอร์แดน สส.รัฐโอไฮโอ โดยคนแรกนี้มักจะอาศัยความไม่รู้ของชาวบ้านไปบอกว่าทรัมป์คือนักบุญที่มาปกป้องอเมริกา ส่วนคนหลังก็เล่นบทบาทองครักษ์พิทักษ์ทรัมป์แบบหน้ามืดตามัวมาโดยตลอด หรืออีกคนอย่าง นายจอร์จ ซานโตส สส. จากนิวยอร์ก ซึ่งตอนนี้กลายเป็นอดีต สส.ไปแล้ว เพราะถูกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ขับออกจากการเป็น สส. ด้วยเรื่องอื้อฉาวและประวัติอันด่างพร้อยมากมาย เช่น เคยมีเรื่องทุจริตฉ้อโกง หลอกชาวบ้านมากกว่า 20 ข้อหา โกงเงินผู้บริจาค ปลอมวุฒิการศึกษา โกหกว่าจบปริญญาโท จากโรงเรียนบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (NYU) โกหกว่าเคยทำงานที่สถาบันการเงินชั้นนำอย่าง Citi Group และ Goldman Sachs
พฤติกรรมของนายแวนซ์ หรือ ตัวอย่างอีก 3 คนที่กล่าวมาข้างต้นนั้น (จริงๆ แล้วมีมากกว่านี้เยอะ) ก็คงทำให้เห็นหน้า สส. หรือ สว. ไทยอีกหลายคน ผุดขึ้นมาเทียบเคียงเช่นเดียวกัน
กลับมาที่เรื่องของนางแฮร์ริสต่อ....ซึ่งขอทิ้งประเด็นไว้วิเคราะห์ต่อสัปดาห์หน้า ก็คือ....โอกาสที่อดีตอัยการหญิงคนนี้จะชนะว่าที่อาชญากรนั้น มีมากน้อยแค่ไหน...
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี