อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่ง ประธานาธิบดี ในนามพรรครีพับลิกันประกาศยุติสงครามในยูเครนทันที หากได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ในเดือนพฤศจิกายน 2024 ทรัมป์ โพสต์ข้อความบน Truth Social ว่า“ได้สนทนาอย่างสร้างสรรค์กับประธานาธิบดีเซเลนสกีแห่งยูเครน” ที่เขาให้คำมั่นว่า จะยุติสงครามเคียฟกับมอสโกทันที
บน Truth Social ทรัมป์ กล่าวว่า ในฐานะประธานาธิบดี “ผมมีหน้าที่นำสันติภาพมาสู่โลกและยุติสงครามที่คร่าชีวิตคนจำนวนมาก..ทั้งสองฝ่าย(รัสเซีย-ยูเครน) สามารถเจรจายุติความรุนแรงและแสวงหาแนวทางไปสู่ความรุ่งโรจน์”ทรัมป์กล่าวว่า หากเขาชนะเลือกตั้งประธานาธิบดี วันที่5 พฤศจิกายน เขาจะทำให้สงครามยูเครนยุติก่อนเข้ารับตำแหน่งเป็นทางการ ในเดือนมกราคม2025 และกล่าวด้วยว่า “หากผมเป็นประธานาธิบดีในปี 2020 รับรองว่าสงครามจะไม่เกิดขึ้น” ทรัมป์เคยพูดกับสำนักข่าวรอยเตอร์สเมื่อปีกลายว่า“ยูเครนต้องเสียดินแดนบางส่วนเพื่อบรรลุข้อตกลงสันติภาพ”
คำมั่นยุติสงครามในยูเครนของ ทรัมป์ ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจาก เจ.ดี. แวนซ์ ว่าที่ผู้สมัครรองประธานาธิบดี คู่กับ ทรัมป์ แวนซ์ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ ว่า “ถ้าทรัมป์คืนสู่เก้าอี้ประธานาธิบดีหลังเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน นโยบายของเขาที่มีต่อยูเครน จะเป็นนโยบายที่เรียบง่ายมากๆ “รัสเซียจะไม่รุกรานยูเครนถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ทุกคนล้วนเห็นด้วยกับเรื่องนี้ แม้กระทั่งสหายจากพรรคเดโมแครตจำนวนมากก็เห็นด้วยอย่างลับๆ กับเรื่องดังกล่าว”
แวนซ์ โจมตีรัฐบาล ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ว่า ปราศจากนโยบายที่สมเหตุสมผลในความขัดแย้งนี้ “ตอนนี้เราใช้เงินไปแล้ว 200,000 ล้านดอลลาร์ ในการช่วยเหลือยูเครน แล้วเป้าหมายคืออะไร? อะไรคือสิ่งที่เราพยายามประสบความสำเร็จ? มีความเสี่ยงลุกลามบานปลายสู่สงครามนิวเคลียร์ใช่หรือไม่? นั่นเป็นเพราะคุณมีตัวตลกดูแลนโยบายต่างประเทศใช่หรือเปล่า ตอนนี้เรามีคนแบบนั้นมากมายเลยในวอชิงตัน ดี.ซี. ...ผมคิดว่าสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์สัญญาว่าจะทำในเรื่องนี้ก็คือ เจรจากับรัสเซียและยูเครน และนำเรื่องนี้สู่จุดจบอย่างรวดเร็ว เพื่อที่อเมริกาจะได้ไปโฟกัสในประเด็นจริงจัง ซึ่งก็คือจีน ที่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุด” แวนซ์เน้นย้ำ
นโยบายยุติสงคราม 28 เดือนในยูเครนของทรัมป์ แตกต่างกับนโยบาย ปธน.ไบเดน ที่ผลักดันให้เซเลนสกีทำสงครามตัวแทนกับรัสเซียจนยูเครนชนะสงครามอันโหดร้าย ที่อาจนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์ได้ หากถึงเวลาที่อเมริกากับนาโตกระโดดเข้าทำสงครามกับรัสเซียอย่างเป็นทางการ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่านั่นเป็นการเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่สาม
ทรัมป์ อาจเป็นคนห่ามๆ ในสายตานักวิชาการนักการศึกษาตลอดถึงนักเคลื่อนไหวเสรีประชาธิปไตยนักการเมืองรุ่นใหม่หัวก้าวหน้า แต่ในสายตาของชาวบ้านธรรมดาทรัมป์ คือ ผู้ถอดชนวนสงครามนิวเคลียร์และยับยั้งสงครามโลกครั้งที่สาม การยุติสงครามในยูเครน คือ การชะลอสงครามนิวเคลียร์และสงครามโลกครั้งที่สาม ที่จ่อระเบิดขึ้นหากสถานการณ์ในยูเครนเลวร้ายลงไปมากว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ทรัมป์เคยถอนหมุดเอเชีย ที่ เดโมแครตปักหมุดเอเชียไว้สมัยประธานาธิบดี โอบามา ไม่ต้องดูอื่นไกลที่ไหนดูตัวอย่างในประเทศไทยและเพื่อนบ้านพม่า ที่มีความรุนแรงขึ้นในประเทศไทยสมัยโอบามา เพราะอเมริกาสนับสนุนขบวนการเผาบ้านเผาเมืองอย่างออกหน้า เนื่องจากว่าแผนการที่อเมริกาจะขยายอิทธิพลปิดกั้นต่อต้านจีนโดยการใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานดาวเทียมโจรกรรม แต่แผนการชั่วร้ายใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานปฏิบัติการถูกประชาชนผู้ตื่นรู้นับแสนนับล้านขัดขวางต่อต้านจนรัฐบาลสมุนวอชิงตันล่มสลาย
ปี 2555 ประธานาธิบดีโอบามา กับ นางฮิลลารี คลินตัน รมต.ต่างประเทศสหรัฐ เจ้าตำรับปักหมุดเอเชียมาเยือนประเทศไทย และเลยไปพม่า ที่โอบามาชะม้ายชายตากับนายกฯหญิงไทยก่อนไปโอบกอดนางออง ซาน ซู จี เหมือนเป็นสัญญาณให้ซีไอเอสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายที่ปะปนอยู่ในมวลชนเสื้อแดงลอบทำร้ายมวลชน กปปส.ระหว่างการชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในปี 2556-2557 เป็นเหตุให้ประชาชนที่ร่วมต่อต้านรัฐบาลเสียชีวิต 31 คน และได้รับบาดเจ็บ 700 กว่าคน
การชุมนุมครั้งประวัติศาสตร์ของคนไทย เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการชุมนุมรุนแรงประท้วงขับไล่ประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยานูโควิช ในประเทศยูเครน ผู้เขียนเป็นหนึ่งผู้ปราศรัยในเวที กปปส.ที่ต้องติดตามข่าวสารการชุมนุมในยูเครนด้วยเพื่อมาเทียบเคียงกันว่า การประท้วงในยูเครนกับประท้วงขับไล่รัฐบาลในประเทศไทยแตกต่างกันอย่างไร จากข้อมูลข่าวสารรอบด้าน พบว่า ซีไอเออยู่เบื้องหลังการโค่นล้มประธานาธิบดี ยานูโควิช ที่อเมริกาสงสัยว่าฝักใฝ่รัสเซีย สหรัฐจึงสนับสนุนผู้ชุมนุมรุนแรงขับไล่ ปธน.ยานูโควิช ที่หนีออกนอกประเทศหลังจากมีคนตาย 110 ราย ซึ่งตรงกันข้ามกับการชุมนุมขับไล่รัฐบาลในประเทศไทยที่อเมริกาและสื่อตะวันตกต่อต้านการชุมนุมของ กปปส.และสนับสนุนมวลชนฝ่ายรัฐบาลที่ต่อต้านการชุมนุมกลุ่ม กปปส.
ส่วนในประเทศพม่าตั้งแต่โอบามาโอบกอด ออง ซาน ซู จี ขบวนการเสรีประชาธิปไตย ภาคประชาสังคม เอ็นจีโอ กลุ่มสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดในพม่าเพื่อรับเงินรับงานจากอเมริกาและประเทศตะวันตกที่อ้างว่ารับเงินมาใช้เพื่อเคลื่อนไหวให้มีประชาธิปไตยมากขึ้น จึงไม่เป็นเรื่องแปลกใจ เมื่อพลเอกมิน อ่อง หล่าย ยึดอำนาจ จากรัฐบาลพรรคเอ็นแอลดีของนางซู จี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 รัฐบาล โจ ไบเดน จึงคว่ำบาตรรัฐบาลทหารพม่า และหันมาสนับสนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารอย่างแข็งขัน มีรายงานว่า ซีเอไอ เป็นตัวการจัดตั้งรัฐบาลเงาพม่า (เอ็นยูจี) และกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (พีดีเอฟ) ขึ้นมาทำสงครามกับรัฐบาลพลเอกมิน อ่อง หล่าย ทั้งด้านการเมืองและกำลังติดอาวุธ อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในพม่ากล่าวว่า ตั้งแต่มีแนวโน้มว่า ทรัมป์อาจชนะเลือกตั้ง การสนับสนุนกลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มให้ทำสงครามกับรัฐบาลทหารพม่าลดลงอย่างมีนัย
ส่วนการถอดหมุดเอเชียที่เดโมแครตปักไว้ บอกได้จากที่ทรัมป์พูดว่า ประเทศกองทัพสหรัฐป้องกันภัยต้องจ่าย ค่าคุ้มครองให้สหรัฐอเมริกา ทำให้สมุนบริวารที่มีฐานทัพอเมริกาอยู่ในบ้าน มีอาการเหมือนกุ้งสะดุ้งไฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไต้หวันที่ถูกสหรัฐปั่นหัวให้ยั่วยุจีนแผ่นดินใหญ่ ประธานาธิบดีไต้หวันถึงกับพูดว่า “เราจำเป็นต้องปฏิรูปความมั่นคงภายในให้กองทัพแข็งแกร่งขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองได้”
นโยบาย ปธน.ทรัมป์ ง่ายๆ ที่พูดแล้วทำได้ทำทันที โดยไม่มีทฤษฎีไม่มีในตำรารัฐศาสตร์การเมืองการปกครอง นโยบายทรัมป์นักวิชาการ จึงไม่เข้าใจและตามไม่ทันเช่นเขาพูดลอยๆ ว่า อยากพบกับ คิม จอง อึนผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็เห็นภาพทรัมป์ เดินข้ามเส้นแบ่งเขตแดนเกาหลีเหนือ-ใต้ไปจับมือกับ คิม จอง อึน หรือ การถอนทหาร และพลเรือนอเมริกันออกจากอัฟกานิสถาน เพนตากอนกับนาโต ประเมินสถานการณ์ว่า ต้องใช้เวลาเตรียมการเป็นปีทั้งด้านโลจิสติกส์ และความปลอดภัย แต่ประธานาธิบดีทรัมป์คิดง่ายทำง่ายขีดเส้นตายต้องถอนทหารและพลเรือนอเมริกัน ทั้งหมดออกจากอัฟกานิสถานภายใน 31 สิงหาคม 2021
นักรัฐศาสตร์การเมืองการปกครอง นักวิชาการตลอดถึงนักการเมืองเสรีประชาธิปไตยหัวก้าวหน้าถึงไม่เข้าใจว่า นโยบายง่ายๆ ของทรัมป์ ชนะใจคนรากหญ้าซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในอเมริกาได้อย่างไร แต่สำหรับชาวบ้านธรรมดาทั่วไปที่เข้าใจและรู้ซึ้งถึงธรรมชาติของอเมริกันชนรู้ว่า อเมริกันชนถือว่าตัวเองยิ่งใหญ่กว่าใครในโลกนี้ อเมริกันชน จึงไม่ยอมมองอะไรพ้นชายคาบ้านออกไปนโยบาย Looking in-ward หรือมองเข้าไปข้างใน เช่นอเมริกาต้องมาก่อน หรืออเมริกาต้องยิ่งใหญ่กว่าเดิมอเมริกาต้องสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศ ต่อต้านสินค้าจีนที่เข้ามาตีตลาดภายในอเมริกา นโยบายง่ายๆ อย่างนี้ มันจึงได้ใจอเมริกันชนคลั่งชาติ ซึ่งคล้ายๆ กับนโยบายนักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในประเทศไทยที่พูดว่า “จังหวัดไหนเลือกเราจังหวัดนั้นได้พัฒนาก่อน” คนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่มองอะไรพ้นชายคาบ้านตัวเองก็เลือกพรรคนั้นไปจนตายจากกันไปข้างหนึ่ง
มองจากธรรมชาติของอเมริกันชนส่วนใหญ่ ที่เหมือนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในประเทศไทยมักไม่มองอะไรไกลพ้นชายคาบ้าน จึงอนุมานได้ว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหลังวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 ดังนั้นอีก 100 วันจากนี้ให้นักการเมืองหัวก้าวหน้า ภาคประชาสังคม เอ็นจีโอที่อิ่มหมีพีมันจากการรับเงินฝรั่งมาสร้างความวุ่นวายในประเทศไทย และมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากพฤติกรรมสนับสนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า ให้ปรับตัวทำใจว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ไม่มีเสรีประชาธิปไตยกินได้เหมือนนโยบายโอบามา-ไบเดน จากพรรคเดโมแครต
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี