ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง
ให้กรุงเทพมหานคร กับบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้กับบีทีเอส กรณีผิดสัญญาชำระค่าตอบแทนการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง(O&M) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว
ในส่วนต่อขยายที่ 1 (ช่วงสะพานตากสิน-บางหว้าและช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง) และในส่วนต่อขยายที่ 2 (ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ) พร้อมดอกเบี้ย
รวมเป็นเงิน 11,755,077,952.10 บาท
ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด (ดอกเบี้ยจะเดินไปเรื่อยๆ)
1. ศาลปกครองสูงสุดชี้ว่า การที่ กทม. ได้ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 และได้มอบหมายให้ บ.กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งเป็นวิสาหกิจ ที่ กทม.ถือหุ้นร้อยละ 99.98 เพื่อให้การดำเนินกิจการสาธารณะของ กทม.มีความคล่องตัว ดังนั้น เมื่อ บ.กรุงเทพธนาคม มีหนี้ค้างชำระตามสัญญา การให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร กับบีทีเอส ทั้งในส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 กทม. จึงต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวกับ บ.กรุงเทพธนาคม ให้กับบีทีเอส ด้วย
2. ก่อนหน้านี้ ผู้ว่าฯชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เคยยืนยันหลายครั้งว่า หากศาลตัดสินก็ต้องจ่าย ต้องทำตามคำพิพากษาของศาล
ล่าสุด นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่ากรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ กทม.อยู่ระหว่างเตรียมการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการจ่ายหนี้ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
โดยเฉพาะการตรวจสอบเงินในคลัง การกำหนดวันจ่าย เพราะมีดอกเบี้ยประมาณวันละ2 ล้านบาท
โดยจะต้องเสนอเรื่องเข้าสภากทม.เพื่ออนุมัติเงินสะสมจ่ายขาดเพื่อจ่ายหนี้ดังกล่าว
คาดว่า จะใช้เวลาดำเนินการตามขั้นตอนพร้อมจ่ายเงินได้ภายใน 140 วัน นับจากนี้ไป
3. แหล่งข่าวจากกทม.เปิดเผยว่า ณ วันที่ 30 ก.ย. 2566 กทม.มียอดเงินสะสมปลอดภาระผูกพันที่ 63,000 ล้านบาท
เมื่อเดือน เม.ย. 2567 กทม.ได้จ่ายหนี้ค่างานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M) ในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 2 ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ มูลค่า 23,112ล้านบาท
ก้อนนั้นคือ ค่างานระบบไฟฟ้า ไม่ใช่ค่าจ้างเดินรถที่ให้บีทีเอสเดินรถให้ทุกวันจนปัจจุบัน แล้วยังไม่ได้จ่ายเงินเขาเลย
ก้อนนี้ คือ ค่าเดินรถ ที่สำคัญ นอกจากคดีที่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาไปล่าสุดแล้ว ยังมีอีกคดีที่ BTS ฟ้องเรียกค่าจ้างเดินรถช่วงปี 2564-2566 ซึ่งยังรอการพิจารณาของศาลปกครองชั้นต้นอยู่
และก็จะต้องมีค่าเดินรถไปเรื่อยๆ ตามสัญญาเดียวกันนั่นเอง
KSecurities วิเคราะห์ว่า หาก BTS ชนะคดีแรกนี้ BTS จะชนะคดีที่เหลือที่ทั้งฟ้องไปแล้วและยังไม่ได้ฟ้องเกี่ยวกับสัญญา O&M เนื่องจากเนื้อหาการฟ้องร้องลักษณะเดียวกัน
เป็นเงินกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท ตามที่ กทม.เป็นหนี้ไว้
และ กทม.ก็จะต้องจ่ายค่าเดินรถในปีต่อๆไป ตามสัญญา ตกปีละประมาณ 7,000 ล้านบาท (กทม.กำหนดค่าโดยสารเอง ได้รายได้)
4. โดยหลักการแล้ว เมื่อจ้างเอกชนทำงาน เมื่อเขาทำงานไม่ขาดตกบกพร่อง รัฐก็ต้องจ่ายหนี้ตามสัญญา
ไม่ใช่ปล่อยค้างเติ่ง หมักหมม ทับถมมาหลายปี
ที่ผ่านมา รัฐให้ประชาชนนั่งฟรี โดยให้บีทีเอสเดินรถส่วนต่อขยายให้ แต่ไม่จ่ายค่าเดินรถให้เขามันย่อมไม่ถูกต้องชัดเจน
เพราะฉะนั้น เมื่อศาลปกครองสูงสุดพิพากษาชี้ขนาด ยืนยันว่าต้องจ่าย ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่หาเงินมาจ่ายเขา
มิฉะนั้น จะเกิดความเสียหายร้ายแรง เสียเครดิต เสียความน่าเชื่อถือ ต่อไปเอกชนที่ไหนจะมาร่วมทำงานกับรัฐ หากเป็นเช่นนี้
และที่แน่ๆ ถ้ายังมัวล่าช้า ค่าดอกเบี้ยจะเดินต่อไปทุกวัน เพิ่มขึ้นทุกวัน วันละประมาณ 2 ล้านบาท
ใครจะรับผิดชอบ ?
5. คงจำได้ เมื่อครั้งที่บีทีเอสทวงหนี้บนสถานีรถไฟฟ้า เผยแพร่วีดีโอเรียกร้องให้ทางรัฐปัญหาหนี้สินรถไฟฟ้าสายสีเขียว
ตอนนั้น ยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ศึกษาจนรู้ชัดอยู่แล้ว ว่ารัฐมีภาระจะต้องจ่ายค่าเดินรถ จ่ายค่างานระบบไฟฟ้า ตามสัญญา ไม่มีทางเป็นอื่น
แถมยังมีสัญญาเดินรถยาวไปจนถึงปี 2585
รัฐบาลจึงให้เจรจากับเอกชน ตามคำสั่งหน้า คสช. เพื่อให้การเดินรถเป็นไปอย่างต่อเนื่องเป็นโครงข่ายเดียวกัน (Through Operation) อํานวยความสะดวกสบาย ในการเดินทางของประชาชนผู้โดยสาร
และเพื่อว่า ฝ่ายรัฐจะได้ไม่ต้องมีภาระหาเงินมาใช้หนี้นั่นเอง
คณะกรรมการตามคำสั่ง คสช. เสนอให้ขยายสัมปทานสายสีเขียวส่วนหลักให้ BTSC เป็นเวลา 30 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2572-2602 เพื่อนำรายได้จากส่วนหลักมาชดเชยการให้บริการเดินรถส่วนต่อขยาย
แต่ขณะนั้น การเมืองฝ่ายตรงข้าม ก็ปั่นกระแสโจมตี ขัดขวาง (ทั้งๆ ที่ สายสีน้ำเงินก็ต่อสัญญาผ่านฉลุย)
การแก้ปัญหาโดยวิธีนี้ ผู้ว่าฯกทม. คนที่แล้ว (ท่านผู้ว่าฯอัศวิน) เห็นด้วย แต่ผู้ว่าฯกทม. คนปัจจุบัน (ผู้ว่าฯชัชชาติ) ไม่เห็นด้วย
นายชัชชาติ ตอนนั้นหาเสียงปั้นแต่งวาทกรรม ป้อนความหวังลมๆ แล้งๆ สุดท้าย พอมีอำนาจจริงๆ ก็ไม่สามารถทำได้ตามสัญญาหาเสียงเลย ก็ต้องยอมจ่ายค่างานระบบไฟฟ้า และค่าเดินรถก็จะต้องรับผิดชอบไปหาเงินมาจ่ายอีกหลายหมื่นล้านบาท
ผมเคยเขียนบทความ ตั้งคำถามไว้ชัดเจนว่า
“....กทม.จะเอาเงินจากไหนมาจ่ายเดินรถสายสีเขียวส่วนต่อขยายอีกหมื่นกว่าล้าน ตามที่ศาลปกครองพิพากษา?
ยังไม่รวมดอกเบี้ย
ยังไม่รวมค่าเดินรถสายสีเขียวฯที่มีเพิ่มขึ้นอีกทุกวัน หลังคดีแรก (พร้อมดอกเบี้ย)
...ลองคิดดู สัมปทานส่วนหลักของสายสีเขียวจะสิ้นสุด 2572 (วาระของผู้ว่าฯ ชัชชาติจะสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2569)
แม้จะรอเปิดประมูลใหม่ ก็จะยังติดสัญญาเดินรถที่จ้างเอกชนถึงปี 2585
ที่สำคัญ ระหว่างนี้ จนถึงปี 2572 ดูแล้ว กทม.ไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ให้ BTSC ได้แน่นอน
ตัวผู้ว่าฯ ชัชชาติอาจหมดสมัยไปก่อน แต่ กทม.จะติดหนี้หัวโต รวมดอกเบี้ยที่เพิ่มทุกวัน มหาศาล มโหฬาร ถึงวันนั้น คนที่รับผิดชอบคือใคร?
ผู้ว่าฯคนปัจจุบัน อาจเปิดก้นไปไหนแล้ว?
... การใช้มาตรา 44 ไม่ถูกต้อง ยอมรับไม่ได้จริงหรือ?
คสช. เคยใช้ ม.44 แก้ปัญหาผ่าทางตันมากมายเกี่ยวกับระบบรถไฟฟ้า
การเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างสถานีบางซื่อกับเตาปูน ที่ชาวบ้านเคยเดือดร้อนกันมาตั้งนาน ก็เรียบร้อยเพราะ ม.44
การต่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินให้แก่ BEM เพื่อให้การเดินรถต่อเนื่อง ก็ใช้มาตรา 44ไม่ต่างกับสายสีเขียว...”
6. ถึงวันนี้ แน่นอนว่าสถานการณ์เปลี่ยนไป
อำนาจต่อรองไปอยู่ในมือเอกชน BTS มากกว่าเดิม เพราะศาลปกครองสูงสุดพิพากษาชี้ขาด เท่ากับรับรองความชอบของสัญญาไปแล้ว สั่งจ่ายค่าเดินรถพร้อมดอกเบี้ยแล้ว
ที่สำคัญ ดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นทุกวันตามความล่าช้า
กทม.จะต้องรีบหาเงินมาจ่าย มิฉะนั้น เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้รัฐเสียหาย เสียดอกเบี้ยบานตะไทไปอีก
ถ้าไม่ต้องการแบกดอกเบี้ย ก็ต้องจ่ายให้ครบตามสัญญา ไม่ต้องรอให้เอกชนไปฟ้องให้ขายหน้าอีกต่อไป
ยอดรวมตามสัญญาเดินรถฯ ในขณะนี้ น่าจะเกือบๆ 4 หมื่นล้านบาท
จะเอาเงินมาจากไหน เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของ กทม.
จะไปขอรับการอุดหนุนจากรัฐบาล รัฐบาลก็มีเหตุผลที่จะพิจารณา เพราะสายสีเขียวให้บริการไม่ใช่เฉพาะกรุงเทพฯ แต่ยังครอบคลุมปริมณฑลด้วย
หรือถ้าจะกลับไปเจรจากับเอกชน ก็ต้องรีบคุย เพราะยุติดอกเบี้ยไว้ก่อน แล้วเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนกับการขยายสัมปทานได้หรือไม่ ถ้าขยายจะขยายกี่ปี แลกกับการกำหนดค่าโดยสารอย่างไรให้ประชาชนได้ประโยชน์ และการเดินรถเป็นไปอย่างต่อเนื่องเป็นโครงข่ายเดียวกัน (Through Operation) อํานวยความสะดวกสบายในการเดินทางของประชาชนผู้โดยสารด้วย
อย่าคิดช้า เพราะเวลาเป็นเงินเป็นทอง ดอกเบี้ยเดินทุกวัน
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี