วันเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบของในหลวงรัชกาลที่ 10 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้เห็นภาพพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าพร้อมเพรียงกันถวายพระพรชัยแด่องค์พระประมุขของชาติ
จะมีก็แต่พรรคก้าวไกลที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ชะตายุบพรรคในวันพุธที่ 7 สิงหาคมสัปดาห์หน้าเท่านั้น ซึ่งทำตัวเหมือนเป็น“แกะดำ” คือทำอะไรที่ผิดแผกแตกต่างไปจากคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้
หากเข้าไปดูเพจหรือเฟซบุ๊กของพรรคการเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะซีกรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน จะเห็นว่า ในวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งปีนี้ถือว่าเป็นวาระพิเศษ เนื่องในโอกาส“พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567” ไม่เพียงแต่ทุกพรรคการเมืองเท่านั้น ส่วนราชการและบริษัทห้างร้าน ต่างก็ได้แสดงความจงรักภักดี โดยการขึ้นข้อความถวายพระพรชัย
ยกเว้นเฉพาะพรรคก้าวไกลเท่านั้นที่“เงียบสนิท” เหมือนมนุษย์ต่างดาวในวรรณกรรมเรื่อง“กาเหว่าที่บางเพลง” ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่มาอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ร่วมกับมนุษย์ที่เป็นประชาชนคนไทยไม่มีผิดเพี้ยน
เรื่องเช่นนี้พรรคก้าวไกลซึ่งปากบอกว่าไม่คิดจะล้มล้างสถาบันกลับทำไม่ได้ นี่ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่า ชนักติดหลังเกี่ยวกับมาตรา 112 ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยไว้เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ว่า
การกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 2) เรื่องการแก้ไขมาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายหาเสียง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ-มาตรา 49 วรรคหนึ่ง มิอาจปฏิเสธหรืออ้างเหตุผลอื่นใดมาแก้ต่างได้
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ-มาตรา 49 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้”
นอกจากนั้น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญยังสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งสอง คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล เลิกการแสดงความคิดเห็น, การพูด, การเขียน, การพิมพ์การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย
และก็ด้วยคำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลรัฐธรรมนูญ จึงเท่ากับเป็นสารตั้งต้นให้ กกต.ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล พร้อมทั้งเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคจำนวน 10 คน และห้ามไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลฯมีคำสั่งยุบพรรค
อย่างไรก็ตาม เนื่องในโอกาส“พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567”ดังกล่าว ไม่เพียงแต่พรรคก้าวไกลจะทำตัวเสมือนเป็น“แกะดำ”หรือมนุษย์ต่างดาวในวรรณกรรมเรื่องกาเหว่าที่บางเพลงเท่านั้น พรรคก้าวไกลยังใช้โอกาสในวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ปล่อยคลิปวิดีโอเชิงสารคดี ความยาว 7.52 นาที เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับคดียุบพรรคก้าวไกล ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยในสัปดาห์หน้า พร้อมเขียนข้อความระบุว่า
“คดียุบพรรคที่ก้าวไกลกำลังเผชิญอยู่ ย่อมไม่ต่างกับสิ่งที่พรรคอนาคตใหม่เผชิญเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หรือพรรคการเมืองต่างๆ เจอมาในรอบเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา การยุบพรรค อาจจะยุบได้แค่องค์กรนิติบุคคล แต่ไม่สามารถหยุดชุดอุดมการณ์เช่นนี้ได้ และพรรคก้าวไกลจะเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าวันที่ 7 สิงหาคมนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จากอนาคตใหม่ สู่ก้าวไกล สู่อนาคต"
โดยเนื้อหาภายในคลิปนั้น นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล ได้แสดงความเห็นว่า การยุบพรรคก้าวไกล อาจจะยุบได้แค่องค์กรนิติบุคคล แต่ไม่สามารถหยุดชุดอุดมการณ์ของพรรคก้าวไกลได้ และการยุบพรรคก้าวไกลจะยิ่งทำให้ประชาชนเห็นถึงความผิดปกติ และจะมาร่วมผลักดันวาระของพรรคก้าวไกลมากขึ้น
ส่วนนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อและรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าว่าพรรคก้าวไกลตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบ สาเหตุที่ถูกยุบไม่ใช่เพราะไปแตะต้องสถาบัน แต่เป็นเพราะไป“ชน”กับกลุ่มการเมืองเก่า โดยนายณัฐพงษ์ได้ยกเหตุผลว่า หลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2566 เห็นได้ชัดว่ามีการรวมขั้วกันเป็นกลุ่มก้อนกันเพื่อต่อต้านพรรคก้าวไกล และลากพรรคก้าวไกลไปสู่เรื่องของสถาบัน
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ยืนยันว่า ”พรรคก้าวไกลไม่ได้ต้องการล้มล้าง หรือเซาะกร่อนบ่อนทำลายใคร เพียงแต่ต้องการโครงสร้างทางการเมือง ที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน”
ขณะที่นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อซึ่งเป็นรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล เห็นว่า หากศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล ก็ไม่ได้ทำให้ประชาชนเปลี่ยนใจ หรือรู้สึกหมดหวังได้
นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล ซึ่งคาดการณ์กันว่าเธออาจจะก้าวขึ้นไปเป็นหัวหน้าพรรคคนต่อไปหากพรรคก้าวไกลถูกยุบและมีการตั้งพรรคใหม่ ให้เหตุผลว่า “เพราะพรรคก้าวไกลได้กลายเป็นสถาบันการเมืองไปแล้ว ไม่ว่าคนจะเปลี่ยนไปกี่รุ่น หัวหน้าพรรคจะเปลี่ยนกี่คน แต่ความเป็นอนาคตใหม่ และก้าวไกลยังคงอยู่ ไม่ว่าพรรคต่อไปจะชื่ออะไรก็ตาม”
อย่างไรดี ในสายตาของประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ เห็นว่า—หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยสั่งยุบพรรคก้าวไกลในวันที่ 7 สิงหาคมสัปดาห์หน้า ซึ่งพรรคก้าวไกลได้เชิญชวนประชาชนโดยระบุว่า“ผู้เป็นเจ้าของประเทศ และเจ้าของพรรคก้าวไกล” ไปร่วมรับฟังคำวินิจฉัยของศาลฯพร้อมกัน ณ อาคารอนาคตใหม่ ที่ทำการพรรคก้าวไกล ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป พร้อมทั้งจะมีกิจกรรมต่อเนื่องจนถึงเวลา 3 ทุ่มนั้น
นั่นก็เพราะพรรคก้าวไกลกระทำผิดกฎหมายด้วยการละเมิดรัฐธรรมนูญ-มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ดังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 หาใช่เพราะกลุ่มอำนาจไหน หรือใครเป็นผู้ขัดขวางสกัดกั้นไม่ให้พรรคก้าวไกลเติบใหญ่ หรือหยุดอุดมการณ์ของพรรคก้าวไกลแต่อย่างใด
พรรคก้าวไกลทำผิดเอง เช่นเดียวกับที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบพรรคมาแล้ว แต่กลับไปโทษโน่นโทษนี่—เหมือนเด็กไม่รู้จักโต !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี