ประเทศไทยของเรานอกจากเป็นประเทศที่นิยมข่าวลือจนกระทั่งมีคำพังเพยระดับชาติประจำชาติว่า “เจ๊กตื่นไฟ ไทยตื่นข่าว ลาวตื่นยศ” ดังนั้นอะไรที่เป็นข่าวลือไม่ว่าจะมีมูลหรือไม่มีมูลประการใด ก็จะมีการขยายให้แพร่หลายในบ้านเมืองของเราจนมีลักษณะประจำชาติไปแล้ว
ก่อให้เกิดอัธยาศัยพิเศษกับคนไทยก็คือชอบแพร่ข่าวลือจนเป็นอัธยาศัย และเพื่อให้การปล่อยข่าวลือเป็นไปอย่างกว้างขวางรวดเร็ว ก็จะใช้คำว่า “เขาว่า” ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใครที่ว่าเรื่องนี้ จากนั้นก็เป็นเรื่องข่าวลือ จนเป็นที่สังเกตว่าเรื่องใดๆ ก็ตามที่ขึ้นต้นด้วยเขาว่าก็คือการปล่อยข่าวลือด้วยวิธีการอันถนัดของคนไทยเรา
และในทุกเรื่องราวที่มีข่าวลือ สิ่งที่จะติดตามมาประกอบกันเพื่ออธิบายข่าวลือหรือขยายผลของข่าวลือให้น่าตื่นเต้นสนุกสนานก็จะมีการอ้างการทำนายทายทัก ไม่ว่าจะอาศัยวิชาโหราศาสตร์ เลขศาสตร์ โหงวเฮ้ง แม้กระทั่งเสี่ยงเซียมซี ไพ่ป๊อก มาทำนายทายทักกันอย่างสนุกสนาน จนอาจกล่าวได้ว่าการพยากรณ์หรือการทำนายทายทักก็เป็นลักษณะประจำชาติไทยของเราอีกอย่างหนึ่งโดยไม่อาจปฏิเสธได้
ที่น่าสังเกตก็คือ บรรดาพวกหมอดูนั้นจะเข้ามามีบทบาทในทุกเรื่องราวข่าวลือและในทุกเหตุการณ์ เพราะเป็นธรรมชาติที่ว่าเมื่อเป็นเรื่องที่ยังไม่ปรากฏชัดเจนและไม่มีความแน่นอนก็ต้องอาศัยการคาดเดา และเนื่องจากคนไทยก็เป็นพวกชอบอ้างอิงหลักวิชา ดังนั้นเมื่อจะคาดเดาก็จะต้องอ้างอิงหลักวิชาซึ่งก็คือวิชาหมอดู
แต่ทว่าวิชาหมอดูนั้นก็มีหลายระดับ ตั้งแต่โหราศาสตร์ ซึ่งอาศัยการพยากรณ์จากการโคจรของดาวเดือนดินฟ้าในอากาศ วิชาเลขศาสตร์ ซึ่งอาศัยการคำนวณจากฐานวันเดือนปีที่คำนวณเป็นหลักพยากรณ์ชะตาคนและชะตาบ้านเมือง นอกจากนั้นแล้วไม่สามารถใช้เป็นหลักพยากรณ์เหตุการณ์บ้านเมืองหรือบุคคลอย่างกว้างขวางได้ อย่างมากก็ใช้เป็นเครื่องมือในการตอบคำถามบางข้อ นั่นคือวิธีการเสี่ยงเซียมซี หรือไพ่ป๊อก หรือทอดเบี้ย ทอดเต๋า
แม้กระทั่งวิชาโหงวเฮ้งหรือนรลักษณ์ก็เป็นเรื่องเฉพาะส่วนบุคคล ณ เวลาใดเวลาหนึ่งว่าจะมีโชคเคราะห์ประการใด ไม่สามารถใช้เป็นหลักพยากรณ์อนาคตของบ้านเมืองและบุคคลได้
แต่เพราะเหตุที่ไม่รู้หรือความไม่รู้จริงของทั้งพวกหมอดูและผู้ดูทั้งหลาย จึงมีการแอบอ้างอวดอ้างวิชาซึ่งไม่มีระดับขนาดที่สามารถพยากรณ์เหตุการณ์บ้านเมือง หรือชะตาชีวิตบุคคลไปพยากรณ์ได้
แต่กระนั้นก็ยังมีผู้อ้างเอาวิชาโหงวเฮ้งหรือเสี่ยงเซียมซี ทอดเต๋า ไพ่ป๊อก มาใช้เป็นหลักพยากรณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองและชะตาชีวิตอยู่เสมอๆ และเพื่อให้เกิดความเชื่อถือ
ก็จะตั้งชื่อตัวเองให้น่าเชื่อถือตามไปด้วย เช่น ตั้งชื่อว่าเป็นซินแสนั่นซินแสนี่ ซึ่งความเป็นซินแสนั้นแท้จริงแล้วต้องเป็นผู้เจนจบหลักวิชาอี้จิงซึ่งเป็นหลักวิชาพยากรณ์ชั้นสูงของจีน แต่ซินแสที่อวดอ้างกันอยู่ในปัจจุบันนี้อย่างมากก็ดูโหงวเฮ้งเอาใจคนมีอำนาจไปวันๆ เท่านั้น
ในยามที่สถานการณ์บ้านเมืองกำลังพลิกผันเป็นแรงกระเพื่อมใหญ่ทั้งในเรื่องการยุบพรรคก้าวไกล ในเรื่องศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยสถานภาพของนายกรัฐมนตรี ในเรื่องคดีมาตรา 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร และปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ การเมืองที่รุมเร้าเข้ามาทุกด้าน จึงเป็นโอกาสอันดียิ่งที่บรรดาหมอดูทั้งหลายจะได้สำแดงฤทธิ์เดชของตนเป็นธรรมดา
จึงมีหมอดูที่พอมีฐานะน่าเชื่อถือท่านหนึ่งออกมาพยากรณ์ชะตาชีวิตนายทักษิณ ชินวัตร ออกโทรทัศน์และสื่อมวลชนดังสนั่นหวั่นไหวว่า ในตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมปีนี้ นายทักษิณ ชินวัตรจะมีชะตาชีวิตที่รุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาล ไม่มีศัตรูหรือคู่แข่งใดต่อสู้ได้อีกแล้ว เพราะเป็นห้วงเวลาที่ดาวพฤหัสบดีประจำตัวของนายทักษิณ ชินวัตร ทรงคุณพิเศษเป็นอุดมโชคที่มีชื่อเฉพาะทางโหราศาสตร์ว่าราชาโชค
ทันทีที่มีหมอดูที่มีชื่อเสียงท่านนี้พยากรณ์ ก็มีโหร สว. ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงทางด้านโหราศาสตร์ท่านหนึ่งคือ ศ.ดร.บุญเลิศ ไพรินทร์ ได้พยากรณ์ติเตียนว่าคำพยากรณ์ของหมอดูดังกล่าวไร้ค่า ไม่ถูกต้องตามหลักวิชา และเป็นห้วงเวลาที่นายทักษิณ ชินวัตร จะมีดวงชะตาตกต่ำที่สุด โดยอ้างว่าดวงชะตากำลังจะซ้ำรอยเหตุการณ์เมื่อครั้ง 19 กันยายน 2549 แต่จะหนักกว่า ซึ่งหมายถึงจะถูกยึดอำนาจด้วยกำลังทหารจนต้องเร่ร่อนจรจัดไปอยู่ต่างประเทศถึง 17 ปี
ดังนั้นคำพยากรณ์ของหมอดูสองคนนี้จึงขัดแย้งกัน ทำให้คนทั้งหลายงุนงงสงสัยว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องไขข้อสงสัยให้แก่มิตรรักแฟนเพลงสักครั้งหนึ่ง
ก็เป็นความจริงดังว่า ว่าในห้วงเดือนสิงหาคม 2567 เป็นระยะเวลาต่อเนื่องไปหนึ่งปีนั้น ดาวพฤหัสซึ่งเป็นดาวศุภเคราะห์ใหญ่ประจำตัวนายทักษิณ ชินวัตร ทรงคุณอันเป็นอุดมโชคที่เรียกว่าราชาโชคซึ่งหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ อำนาจวาสนาทั้งหลาย ไร้ผู้ใดเทียมทานได้อีก การที่โหรท่านนี้พยากรณ์ก็เป็นไปตามหลักพยากรณ์ทั่วไป ซึ่งมีบทพยากรณ์เช่นนี้จริงๆ
แต่ที่โหรโหราจารย์อีกท่านหนึ่งคือ ศ.ดร.บุญเลิศ ไพรินทร์ ทักท้วงนั้นก็ถูกต้องและดูเหมือนจะลึกซึ้งกว่าโหรท่านแรก เพราะครบเครื่องสมบูรณ์ทั้งบทพยากรณ์ทั่วไปและข้อยกเว้น โดยเฉพาะคือโหรท่านแรกไม่ได้พูดถึงข้อยกเว้นใดๆ เลย จึงทำให้พยากรณ์ขาดเนื้อหาสำคัญยิ่ง จนอาจเกิดผลตรงกันข้าม
ในบทพยากรณ์ทางโหราศาสตร์นั้นมีหลักคัมภีร์อยู่คัมภีร์หนึ่งคือคัมภีร์จักรทีปนีจร ซึ่งรจนาโดยพระอุตตมรามเถร พระอรหันต์เมื่อสองพันปีมาแล้ว และสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีได้ทรงแปลคัมภีร์นี้จากภาษาสันสกฤตมาเป็นภาษาไทยและทรงนิพนธ์เป็นคำฉันท์ที่งดงามไพเราะอย่างยิ่ง สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งวิชาการของท่านก็เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป แม้กระทั่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาบทพยากรณ์จากคัมภีร์จักรทีปนีจรนี้เป็นหลัก
อันคัมภีร์จักรทีปนีจรนั้นเป็นบทพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น อันเป็นผลมาจากการโคจรของดาวเดือนในอากาศที่มีความสัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะ “ปะทะทับและทันกัน” ซึ่งบทพยากรณ์ทั้งหมดนั้นจะเป็นบทพยากรณ์ตามปกติ แต่จะมีข้อยกเว้นอยู่ห้าประการว่า
บทพยากรณ์เหล่านั้นจะต้องพยากรณ์ไปในทางตรงกันข้าม
เหตุนี้โหรทั้งหลายผู้เรืองวิทยาจึงต้องเรียนรู้และสันทัดศึกษาและเข้าใจข้อยกเว้นนี้ แต่น่าเสียดายที่โหรไทยโดยทั่วไปเข้าไม่ถึงข้อยกเว้นนี้ ซึ่งปรากฏชัดเจนอยู่แล้วว่ามีลักษณะห้าประการที่เป็นข้อยกเว้นคือ “พักร์เสริดและมณฑ์มี วิสมห้าประการกล”
โหรไทยโดยทั่วไปเข้าไม่ถึงข้อยกเว้นนี้ หรืออย่างมากก็เข้าถึงเพียงสามเรื่อง คือพักร์ เสริด และมณฑ์
คำว่าพักร์ หมายถึงการโคจรของดาวพระเคราะห์ที่หยุดนิ่งอยู่กับที่
คำว่าเสริด หมายถึงการโคจรของดาวพระเคราะห์ที่โคจรเร็วกว่าปกติที่กำหนดไว้ เช่นดาวพฤหัสมีวิถีโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งเป็นเวลา 1 ปี ถ้าห้วงเวลาใดก็ตามดาวพฤหัสโคจรเร็วขึ้น ห้วงเวลานั้นเรียกว่าดาวพฤหัสเป็นเสริด
คำว่ามณฑ์ หมายถึงการโคจรในลักษณะถอยหลัง คือเป็นห้วงเวลาที่ดาวพระเคราะห์โคจรในช่วงปลายวงรีของวิถีโคจร ซึ่งวิถีโคจรของดาวพระเคราะห์ทั้งหลายนั้นจะเป็นวงรี เมื่อโคจรไปสุดแล้วก็จะวกกลับมา จึงทำให้ดูเหมือนว่ามีลักษณะถอยหลัง นั่นคือเรียกว่ามณฑ์
โหรไทยโดยทั่วไปก็จะรู้จักพักร์ เสริด และมณฑ์เป็นอย่างดี และห้วงเวลาใดดาวพระเคราะห์พักร์ เสริด มณฑ์ ก็จะมีระบุไว้ในปฏิทินโหร จึงเป็นหน้าที่ของโหรที่จะต้องนำผลของการโคจรนี้มาปรับบทพยากรณ์จากบทพยากรณ์สามัญเป็นพยากรณ์ไปในทางตรงกันข้าม
สำหรับวิกับสมนั้น โหรทั่วไปจะเข้าไม่ถึง และไม่ทราบว่าหมายความว่าอย่างไร เนื่องจากคำว่าวิและสมนั้นแม้เป็นภาษาไทย แต่รากภาษาหรือนิรุกติมาจากภาษาบาลี
วิหมายถึงความขัดแย้งกันหรือสวนทางกัน เช่น ดาวที่เป็นศัตรูโคจรมาปะทะทับหรือทันกัน เรียกว่าวิ หรือดาวที่โคจรตามจักรและย้อนจักรมาปะทะทับและทันกัน ณ จุดนั้นเรียกว่าเกิดจุดวิขึ้น
สมหมายถึงความคล้อยตามไปในทางเดียวกัน เช่นดาวที่เป็นมิตรหรือศัตรูโคจรมาประจบกัน หรือดาวที่มีธาตุที่เป็นมิตรหรือเข้ากันได้ไปด้วยกัน อย่างนี้เรียกว่าสม
ในกรณีข้อยกเว้นห้าประการนี้จะต้องพยากรณ์ไปในทางตรงกันข้าม ซึ่งกรณีของนายทักษิณ ชินวัตร นั้นดาวพฤหัสประจำตัวทรงคุณเป็นราชาโชคให้คุณก็จริง แต่ดาวพฤหัสประจำตัวนายทักษิณ ชินวัตร นั้นเป็นดาวร้าย เพราะมีลักษณะเป็นนิจหรือฝ่ายต่ำ ซึ่งสังเกตได้ง่ายว่าใครก็ตามที่มีพฤหัสเป็นนิจจะมีข้อบกพร่องทางคุณธรรมเสมอ
ดังนั้น เมื่อดาวพฤหัสของนายทักษิณ ชินวัตร ในช่วงนี้เป็นราชาโชคจึงไม่ใช่ผลทางดีแต่เป็นผลทางร้ายอันเป็นบทพยากรณ์ตามข้อยกเว้นนั้น ความหมายทางร้ายอย่างไรให้เทียบเคียงกับโตฎกฉันท์บทนี้คือ “พฤหัสดลจักร ปะทะลัคณะมี ทุรโทษธิบดี และพยาธิจุฬภัยผิว์สังฆวรา ก็จะลาคณะไป บ่มิแม้นดุจจะไข ก็จะผิดคติครู” ซึ่งเป็นคำท้าทายว่าถ้าไม่แม่นยำก็ให้เผาตำราทิ้งได้เลย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี