ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยมติเป็นเอกฉันท์ 9-0 ให้ยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิ์ทางการเมือง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค รวม 11 คน คนละ 10 ปี คำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลได้สร้างแรงสั่นสะเทือนรัฐบาลพรรคเพื่อไทยตลอดถึงนายใหญ่ผู้อยู่ระหว่างเป็นนักโทษพักคดีและเป็นจำเลยคดีอาญามาตรา 112 ที่เป็นชนักติดหลังยังเอาออกไม่ได้
การตัดสินยุบพรรคก้าวไกล ไม่ใช่เพียงแต่การล่มสลายของพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความสั่นสะเทือนถึงพรรคเพื่อไทย และนายทักษิณ ชินวัตร จำเลย ในคดีอาญามาตรา 112 ผู้ถูกกล่าวหาจาบจ้วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ อาการหวาดหวั่นของจำเลยคดี ม.112 บอกได้จากที่จำเลยขออนุญาตศาลเดินทางไปดูไบ แต่ศาลไม่อนุญาตด้วยเกรงว่าประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนครั้งที่ขอไปชมโอลิมปิกปักกิ่งในปี 2551
ครั้งนั้นจำเลยสัญญาว่า จะกลับมาทันฟังคำศาลตัดสินคดีที่ดินรัชดา วันที่ 10 กันยายน แต่จำเลยซึ่งรู้อยู่แก่ใจว่ากระทำผิดกฎหมายเลยหนีคดีหนีศาลไปอยู่ต่างประเทศนาน 17 ปี จนกระทั่งมั่นใจว่าปลอดภัยถึงกลับประเทศไทย ในวันที่พรรคการเมืองในสังกัดได้เป็นรัฐบาล และมีคนช่วยจัดการให้ไม่ต้องเข้าคุก นายทักษิณจึงได้กลับบ้านวันที่ 22 สิงหาคม 2566 วันเดียวกับที่นายเศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกจากรัฐสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย
นั่นเป็นนิสัยถาวรของนายทักษิณ คือ เมื่อมั่นใจว่าพรรคการเมืองอยู่สังกัดเป็นรัฐบาลที่ควบคุมได้เขาจึงกลับบ้าน ย้อนไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2547 หลังจากรัฐบาลไทยรักไทยถูกยึดอำนาจ ทักษิณเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศ 1 ปี 5 เดือนและเมื่อนายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในนามพรรคพลังประชาชนที่เปลี่ยนชื่อจากไทยรักไทยถูกยุบไป วันที่ 28 กันยายน 2551ทักษิณ ชินวัตร ก้าวออกมาจากอาคารผู้โดยสารขาเข้าสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วก้ม “กราบแผ่นดิน” จัดแถลงข่าวใหญ่โตว่าจะอยู่สู้คดีในประเทศไทยไม่หนีไปไหนอีก แต่เมื่อใกล้วันศาลตัดสินคดีที่ดินรัชดา เดือนกรกฎาคม ในปีเดียวกันทักษิณก็หนีจากประเทศไทยไปนาน 17 ปี
ดังนั้นเมื่อศาลรัฐธรรมนูญกำหนดวันตัดสินนายเศรษฐาว่าจะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ในวันที่ 14 สิงหาคมนี้ นายทักษิณซึ่งรู้ดีกว่าใครทั้งหมดว่า การแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน ทนายความของส่วนตัวของตนเป็นรัฐมนตรีขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ประกอบกับศาลอาญานัดตรวจสอบหลักฐานคดีที่ตนเป็นจำเลย ม.112ในวันที่ 19 สิงหาคมนี้ นายทักษิณ จึงใช้ลูกไม้เก่ายื่นคำร้อง “ขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร” ไปพำนักอยู่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ) ระหว่าง วันที่ 1-16 สิงหาคมนี้ เพื่อพบแพทย์ซึ่งเคยตรวจรักษาอาการป่วยของตนเอง เกี่ยวกับปอดอักเสบเรื้อรัง ระบบหายใจและหลอดเลือดหัวใจ เอ็นไหล่ขวาฉีกขาด และหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน อีกทั้ง ยังมีนัดหมายกับบุคคลสำคัญหลายคนเกี่ยวด้วยภารกิจส่วนตัวหลายเรื่อง และจะเดินทางกลับไทย ก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐาน ซึ่งศาลนัดไว้ในวันที่ 19 สิงหาคม 2567
แต่ศาลไม่อนุญาตด้วยเหตุผลว่า อาการป่วยของ “ทักษิณ” เป็นโรคที่เกิดแก่บุคคลทั่วไปและแพทย์ในประเทศไทยตรวจรักษาเป็นประจำอยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่ต้องไปพบบุคคลสำคัญ ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของ “ทักษิณ” ทั้งไม่มีพยานหลักฐานยืนยันชัดแจ้ง ถึงความจำเป็นดังกล่าว ประกอบกับช่วงระยะเวลาที่เดินทาง ใกล้กับวันนัดตรวจพยานหลักฐานในคดี 112 จึงยกคำร้อง
ศาลยกคำร้องจำเลยที่สังคมไทยตราหน้าเป็นนักโทษเทวดา เพราะว่านายทักษิณไม่ต้องเข้าคุกตามคำสั่งศาลแม้แต่วันเดียว ซึ่งทำให้สังคมไทยสงสัยและวิพากษ์วิจารณ์กันว่า รัฐบาลนายเศรษฐา เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจปฏิบัติหน้าที่และละเลยปฏิบัติหน้าโดยมิชอบ ที่ช่วยให้นักโทษชายทักษิณ ได้อยู่ในห้อง Royal Suiteโรงพยาบาลตำรวจ 180 วัน ที่คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า นายทักษิณป่วยถึงขั้นนอนโรงพยาบาลจริง จำเลยในคดี 112 คงหวาดหวั่นว่า รัฐบาลนายเศรษฐา อาจไม่ได้อยู่ปกป้องตน หลัง 14 สิงหาคม และอกสั่นขวัญหายขึ้นไปอีกเมื่อ ป.ป.ช.รับเรื่องร้องเรียนไว้พิจารณา
นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีพิจารณาเรื่องที่มีผู้ร้องเรียนผู้เกี่ยวข้องขบวนการเอื้อประโยชน์นายทักษิณ ชินวัตร เข้าพักรักษาตัวที่ ห้องพิเศษชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ว่าเรื่องนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงรวบรวมพยานหลักฐานของคณะทำงานไต่สวนที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและทบทวนพยานหลักฐานตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ส่งรายงานการพิจารณาของ กสม.มาให้ ป.ป.ช.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็จะถูกนำมาพิจารณาประกอบด้วยเช่นกัน
การที่ ป.ป.ช.ซึ่งชะลอการพิจารณาคำร้องเจ้าหน้าที่รัฐทำผิดกฎหมายที่ช่วยให้นายทักษิณอยู่โรงพยาบาลแทนคุก แต่กลับรับเรื่อง กสม.สอบสวนมาพิจารณา หลังจากศาลอาญายกคำร้องขอไปดูไบ ของจำเลยคดีอาญามาตรา 112 ย่อมแสดงว่า อิทธิพลบารมีของทักษิณผู้มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญเหนือพรรคเพื่อไทยเสื่อมสลายแล้ว ดังที่นักวิเคราะห์การเมืองลงความเห็นตรงกันว่า อิทธิพลบารมีของจำเลยคดีอาญามาตรา 112 เสื่อมเพราะความทะนงจองหองพองขนและปากพาจน (แต้ม) ซึ่งเป็นนิสัยถาวรของนายใหญ่ที่แก้ไม่หายเข้าตำรา “ปลาหมอคางเหลี่ยมตายเพราะปาก”
ดังคำสุภาษิตจีนที่ว่า “คนคำนวณไม่เท่าฟ้ากำหนด” ดังนั้น การที่คนรอบกายรวมทั้งอภินิหารกฎหมาย “คำนวณ” ว่า ในแผ่นดินนี้ ไม่มีใครเอาผิดนักโทษพักโทษที่ตกเป็นจำเลยคดี 112 ได้ ทำให้นักโทษพักโทษผู้จองหองพองขนทะนงว่า ตนคือผู้อยู่เหนือกฎเกณฑ์ เหนือกฎหมายที่กระบวนการยุติธรรมไม่อาจลงทัณฑ์ได้ #พอเมาไวน์ถึงได้หลุดคำพูดเย้ยฟ้าท้าดินออกมา จึงถึงเวลาฟ้ากำหนด และนั้นคงเป็นที่มาของศาลยกคำร้องขอไปดูไบ และเป็นแรงดลใจให้ ป.ป.ช.ขยับตัวสอบสวนสำนวนคดีที่มีผู้ร้องเอาผิดเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบที่ช่วยให้นักโทษเทวดาเสวยสุขในคุกทิพย์บนวิมานชั้น 14
ความจริงเรื่อง “ปลาหมอคางเหลี่ยมตายเพราะปาก” ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีผู้ใหญ่ที่เคารพรักศรัทธาเล่าให้ฟังเมื่อยี่สิบปีที่แล้วว่า ความจองหองพองขนและไม่รู้กาลเทศะว่า ไปที่ไหนเพื่อพบใครต้องแต่งกายอย่างไร และเมื่อถูกผู้ใหญ่ตำหนิมันถึงกับสบถหยาบช้าเกินคำบรรยาย ขณะนั่งในเฮลิคอปเตอร์กลับกรุงเทพฯ มันคงไม่สำเหนียกว่า นอกจากหน้าต่างมีหูประตูมีตาแล้ว การพูดในที่รโหฐานวิทยาการสมัยใหม่สามารถทำให้เสียงพูดนั้นดังออกไปถึงจุดอื่นได้ คำสบถหยาบคายชั่วช้า จึงเป็นที่มาของเหตุการณ์ 19 กันยายน 2547 จึงอนุมานได้ว่า การพูดจาโอ้อวดตอนเมาไวน์ที่คนนำไปปรนเปรอบนเขาใหญ่จะเกิด Affect คล้ายกันเมาน้ำลายในเฮลิคอปเตอร์
และผลกระทบรุนแรงที่อาจทำให้รัฐบาลเพื่อไทยล่มสลายหลังจากยุบพรรคก้าวไกล เพราะทั้งเพื่อไทยและก้าวไกลไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ เหลือไว้ข่มขู่พรรคร่วมรัฐบาล เนื่องจากว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกลถูกตัดสิทธิ์ไปแล้ว ส่วนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่เหลืออยู่ของพรรคเพื่อไทยก็ไม่มีพรรคร่วมรัฐบาลขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติยอมให้แคนดิเดตพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรี
ดังนั้นหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี วันที่ 14 สิงหาคมนี้ พรรคเพื่อไทยต้องยอมให้พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ส่วนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคงตกไปอยู่กับผู้ที่กล่าวว่า “ผมไม่ทะเยอทะยานแกนนำรัฐบาลเป็นของพรรคเพื่อไทย” มันเป็นนิสัยถาวรของนักการเมืองไทยที่พูดไม่ตรงกับการกระทำ
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี