หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยสั่งยุบพรรคก้าวไกลด้วยมติเป็นเอกฉันท์ทั้ง 9 เสียงของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา..มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
แน่นอนว่าฝ่ายที่อยู่ฝั่งก้าวไกลซึ่งถูกยุบพรรค..ย่อมรู้สึกยอมรับไม่ได้เป็นธรรมดา..แต่ฝ่ายที่ไม่ได้ถือหางพรรคก้าวไกล..ตลอดจนฝ่ายที่ไม่ได้ใช้อคติเป็นตัวตัดสิน..ต่างก็เห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญ..ได้ใช้หลักกฎหมายซึ่งบังคับใช้กับประชาชนทุกคนในประเทศนี้มาเป็นคำวินิจฉัย
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ชี้ชัดว่า..การที่พรรคก้าวไกลนำสถาบันพระมหากษัตริย์ไปใช้เพื่อความได้เปรียบและมุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมือง..โดยการเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112..และใช้เป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงเลือกตั้งนั้น..เป็นการกระทำที่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข..โดยที่คำวินิจฉัยนี้ได้อ้างถึง“คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567” (วันที่ 31 มกราคม 2567)..ว่า
“พฤติการณ์ของผู้ถูกร้อง (พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล)..เป็นการมุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะผู้ขัดแย้งกับประชาชน..ผู้ถูกร้องมีเจตนาเซาะกร่อน..บ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์..หรือทำให้อ่อนแอลง..อันนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด”
นอกจากนั้น..ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งยุบพรรคก้าวไกล และเพิกถอนสิทธิรับเลือกกรรมการบริหารพรรคและอดีตกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล 11 คน..ยังชี้ด้วยว่า ผู้ถูกร้องและ สส.ของพรรคก้าวไกลที่ร่วมกันเสนอร่างกฎหมาย..แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่มีเนื้อหาลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ และใช้เป็นนโยบายพรรค..มีพฤติการณ์เข้าร่วมรณรงค์ทางการเมืองให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112..โดยมีกรรมการบริหารพรรค, สส. และสมาชิกพรรคก้าวไกล..เป็นนายประกันผู้ต้องหาหรือจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112..หรือตกเป็นผู้ต้องหาในจำเลยในการกระทำความผิดดังกล่าวเสียเอง
ไม่เพียงแต่เท่านั้นศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า..ผู้ถูกร้อง “ยังเคยแสดงความเห็นให้แก้ไข..และยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ผ่านการจัดกิจกรรมทางการเมือง และสื่อสังคมออนไลน์หลายครั้ง..ด้วยเจตนามุ่งหมายที่จะแยกสถาบันพระมหากษัตริย์กับความเป็นชาติไทยออกจากกัน..ซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐอย่างมีนัยยะสำคัญ..ลดทอนสถานะความคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์..และใช้ประโยชน์จากสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อหวังผลคะแนนเสียงและชนะการเลือกตั้ง..มุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน..ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกโจมตี-ติเตียน..เป็นการทำร้ายจิตใจของชาวไทยที่มีความเคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์”
สรุปก็คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล..มีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข..และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข..ซึ่งเป็นเหตุแห่งการยุบพรรค..ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2561 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2)
ดังนั้น อย่างที่เขียนไว้ตอนต้นว่า...คำวินิจฉัยของศาลในการสั่งยุบพรรคก้าวไกลครั้งนี้..มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย..ฝ่ายพรรคก้าวไกลทั้งผู้ถูกร้องและมวลชนที่สนับสนุน..ก็ย่อมต้องไม่เห็นด้วยเป็นธรรมดา..และไปไกลถึงขนาดที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งถูก“ประหารชีวิตทางการเมือง"ในครั้งนี้ด้วย..แถลงว่า..“ผลคำวินิจฉัย..สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ในระยะยาว..ทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข..กลายพันธุ์ไปเป็นระบอบอื่นได้”
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม..เมื่อพรรคก้าวไกลถูกยุบพรรค..ปฏิกิริยาต่อต้านและการเคลื่อนไหวต่างๆ ในทางการเมืองที่จะมีตามมาในรูปของ“สารพัดม็อบ”..เช่นที่เคยปรากฏหลังพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบพรรคในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563..หากไม่ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง..ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น..ตลอดจนเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ..นั้นก็ย่อมสามารถกระทำได้..ถือว่าเป็นสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
หรือถ้าจะ“กลายพันธุ์ไปเป็นระบอบอื่น”..อย่างที่นายธวัชชัย ตุลาธน กล่าวถึงในทำนองข่มขู่เชิงอาฆาตให้“ลอยลม”ไปถึงใครหรือไม่อย่างไรนั้น..ยุ่งแน่--เป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก..อาจจะเข้าข่ายฐานเป็นกบฎตามความผิดในมาตรา 113 ของประมวลกฎหมายอาญา..โทษสถานหนักก็คือ..ไม่ถูกประหาชีวิต ก็ถูกจำคุกตลอดชีวิต
สิ่งที่น่าจะต้องจับตานับจากนี้ไป..ที่เป็นประเด็นใหญ่ซึ่งไม่ใช่เรื่องการหาพรรคหรือการตั้งพรรคเมืองขึ้นมารองรับอดีต 143 สส.ของพรคก้าวไกล..เพราะถึงอย่างไรก็หาพรรคได้อยู่แล้ว..แต่ที่เป็นประเด็นใหญ่ ก็คือ..ชะตากรรมของอดีต“44 สส.พรรคก้าวไกล”ที่ร่วมลงชื่อในร่างแก้ไขกฎหมายมาตรา 112..และถูกร้องเรื่อง”จริยธรรมร้ายแรง”ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของ ป.ป.ช.
ด้วยเหตุที่ ผลคำวินิจฉัย“วันที่ 7 สิงหาคม 2567”ของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งถือเป็นเด็ดขาด..และมีผลผูกพันรัฐสภา, คณะรัฐมนตรี, ศาล, องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ..ได้ชี้ไว้ชัดว่า..ผู้ถูกร้อง คือนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล..รวมทั้ง สส.ของพรรคก้าวไกลที่ร่วมกันเสนอร่างกฎหมาย..แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112..เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเช่นนั้น..อดีต“44 สส.พรรคก้าวไกล”ก็ย่อมต้องมีความผิดเช่นเดียวกับอดีต 11 กรรมการบริหารพรรคก้าวไกลที่ถูกประหารชีวิตทางการเมืองไปแล้ว
“ไหม-ศิริกัญญา ตันสกุล”ที่ใช้ฤกษ์วันนี้คือวันที่ 9 สิงหาคมขึ้นบ้านใหม่..ด้วยการตั้งพรรคใหม่..และจะเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่..ยังไม่ทันที่“ความเจ็บปวด”ของเธอจากการที่พรรคก้าวไกลถูกยุบพรรคจะได้รับการบำบัดเยียวยา..ก็กลับจะต้องเผชิญกับ“เคราะห์ซ้ำกรรมซัด”อีก..
เพราะ“ไหม”ก็เป็น 1 ในอดีต 44 สส.ก้าวไกลที่ว่านั้นด้วย !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี