ทำไมคนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยไม่ชอบพูดกันตรงๆ ทำไมต้องอ้อมค้อม ทำไมต้องเล่นลิ้น มีข้ออ้างว่า สาเหตุที่คนไทยจำนวนไม่น้อยไม่ยอมพูดให้ตรงประเด็น ก็เพื่อรักษาน้ำใจ รักษาหน้าของกันและกัน ถามว่าการพูดให้ตรงประเด็นมันไม่รักษาหน้าตรงไหน การพูดตรงประเด็นมันไม่ใช่การพูดคำหยาบคายหรือการชี้หน้าด่าประจาน ประณามกันและกัน แต่การพูดตรงประเด็นคือการพูดในเรื่องที่สมควรต้องพูดให้ชัดเจนกับคนที่จำเป็นต้องพูดด้วยหรือต้องบอกกล่าวในเรื่องที่สำคัญนั้นๆ
มีคนบางคนวิพากษ์วิจารณ์เชิงเย้ยหยันประชดประชันว่า ชนชั้นปกครองของไทยไม่ชอบพูดความจริง และมีคนสอนหนังสือด้านรัฐศาสตร์บางรายพูดทำนองเกินเลย โดยไม่น่าจะเป็นความจริงว่า การปกครองใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้จะก่อให้เกิดปัญหาความตึงเครียดอย่างใหญ่หลวงในสังคมไทย แล้วจะนำไปสู่ความขัดแย้งแตกแยกกันอย่างรุนแรงในสังคม และจะจบลงด้วยการใช้กำลัง ใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชน
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ เขียนบทความเรื่อง 2567 ปีแห่งโศกนาฏกรรมประชาธิปไตย โดยอ้างว่า การปกครองใหม่เป็นรูปแบบการปกครองที่เชื่อมประสานกันระหว่างประชานิยมกับอำนาจนิยม ซึ่งสร้างปฏิบัติการภายใต้กรอบคิดทางการเมืองหลัก ได้แก่ ความเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วอรรถจักร์ก็อ้างว่า การปกครองใหม่ดำเนินไปโดยสามารถใช้กลไกอำนาจรัฐทุกอย่างกำจัดผู้ที่ไม่เห็นด้วยได้โดยง่าย
มีคำถามว่า อรรถจักร์ใช้อะไรเป็นตัวเชื่อมโยง แล้วสรุปว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเกี่ยวข้องกับประชานิยมและอำนาจนิยม แล้วใช้อะไรเป็นตัวยืนยันว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการปกครองใหม่จะถูกกำจัดโดยอำนาจรัฐ ซึ่งก็ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องการใช้อำนาจรัฐเพื่อกำจัดฝ่ายตรงกันข้ามกับตนเอง เพราะเรื่องแบบนี้เกิดมาโดยตลอดไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด
ในบทความของอรรถจักร์กล่าวต่อไปถึงเรื่องการยุบพรรคการเมือง โดยอ้างว่าพรรคการเมืองนั้นเป็นหัวหอกของความเปลี่ยนแปลง แต่การยุบพรรคฯ ไม่สามารถหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงได้ แล้วก็อ้างว่าจะมีการทำรัฐประหารโดยอ้างว่ารัฐประหารเพื่อรักษาประชาธิปไตย
ผู้เขียนขอบอกตรงๆ ว่าไม่มีนักวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองไทยคนไหนกล้ายืนยันว่า สังคมไทยจะไม่มีการเผชิญหน้ากันในอนาคต เพราะคนที่ติดตามการเมืองไทยย่อมเห็นชัดอยู่แล้วว่ามีการพยายามสร้างกระแสความแตกแยกในสังคมไทยโดยคนกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมือง แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และคนที่เข้าใจว่าตนเองคือนักวิชาการในมหาวิทยาลัยบางแห่ง ก็มีส่วนเร่งเร้าให้เกิดการเผชิญหน้ากันทางการเมืองของคนในสังคมไทย
มีการใช้วาทกรรมฟาดฟันและเชือดเฉือนกันโดยตลอด ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าคนที่เน้นการใช้วาทกรรมทำนองวาจาพิฆาตมากที่สุด ก็น่าจะได้แก่คนที่เป็นนักการเมืองที่ต้องการจะได้อำนาจรัฐ ตามมาด้วยคนสอนหนังสือด้านรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ อักษรศาสตร์ในมหาวิทยาลัยบางแห่ง และยังมีคนอีกกลุ่มคือคนที่สวมบทบาทนักสื่อสารมวลชนจำพวกสื่อสารเพื่อเพิ่มความแตกแยกร้าวฉานให้สังคม
ที่น่าสมเพชคือ คนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยบางคนหลงตัวเองมาก กล้าอ้างว่าตนหน้าบางกว่าคนอื่น แล้วยังอ้างอีกว่ามหาวิทยาลัยที่ตนทำมาหากินนั้นอยู่ในกลุ่มหน้าบาง แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยไม่เชื่อว่าคนพรรค์อย่างว่านั้นหน้าบาง เพราะจับได้หลายครั้งว่ามีพฤติกรรมหน้าหนาต่างกรรมต่างวาระ คนจำพวกนี้ชอบประณามว่าคนอื่นหน้าหนา โดยเฉพาะประณามชนชั้นปกครองไทยว่าหน้าหนามาก แต่เมื่อตามดูเนื้อในของคนจำพวกนี้ ก็พบว่าเลือกประณามคนที่ไม่ใช่พวกตนเท่านั้น แต่ไม่เคยมองเห็นความหน้าหนาของคนในกลุ่มตนเอง แล้วที่สำคัญยิ่งกว่าคือไม่เคยเอามือถูหน้าตัวเอง จึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วหน้าของตนหนากว่าหน้าของคนอื่นๆ ที่ตนด่าว่าและประณามเขาเรื่อยมา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี