เส้นทางการเมืองไทย จะเดินไปในทิศทางไหนผลคำวินิจฉัยคดีนายกฯเศรษฐาในวันมะรืนนี้ (14 ส.ค.) จะทำให้เห็นความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
โอกาส ความเป็นไปได้ และความน่าจะเป็นเป็นอย่างไร?
1. นายกฯ เศรษฐา จะรอดหรือไม่?
กรณีสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 40 คน ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ หรือไม่? (จากกรณีตั้งนายพิชิตเป็นรัฐมนตรี)
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สามารถออกมาได้ 2 ทาง คือ
ทางแรก ถ้ายกคำร้อง เท่ากับว่า นายเศรษฐาเป็นนายกฯ ต่อไป
ทางที่สอง ถ้าวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง เท่ากับว่า พ้นจากนายกฯ ก็จะมีผลทำให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งไปด้วย สภาผู้แทนราษฎรก็จะต้องเลือกนายกฯ คนใหม่
ขณะนี้ ประเมินว่า มีโอกาสเป็นไปได้พอๆกันทั้งสองทาง
ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยให้น้ำหนักประเด็นข้อกฎหมายของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละท่านโดยแท้
เชื่อว่า คะแนนเสียงน่าจะออกมาอย่างไม่เป็นเอกฉันท์
เหมือนตอนที่พิจารณากรณีว่าจะให้นายกฯเศรษฐาหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ผลคือไม่ต้องหยุด 5 ต่อ 4 ก้ำกึ่ง
คดีนี้ นายเศรษฐามีโอกาสรอด ถ้าศาลเห็นว่าเป็นการบกพร่องโดยสุจริต และก่อนตั้งก็ได้ถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีลักษณะต้องห้าม เพียงพอแล้ว
แต่ถ้าศาลเห็นว่า ที่นายกฯเศรษฐาอ้างว่าได้สอบถามคุณสมบัติกับทางกฤษฎีกาแล้วนั้น พบว่า ประเด็นที่สอบถามกลับแจ้งประสงค์ขอหารือเฉพาะกรณีมาตรา 160 (6) ประกอบกับมาตรา 98 (7) และมาตรา 160 (7) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเท่านั้น ไม่ได้ถามมาตรา 160 (4) และ (5) มีเจตนาซ่อนเร้น อำพราง โดยรู้หรือควรรู้ว่านายพิชิตมีพฤติกรรมที่เคยถูกคำสั่งศาลให้จำคุก คดีถุงขนมละเมิดอำนาจศาล ก็อาจไม่รอดก็ได้
อย่างไรก็ตาม ขอชื่นชมนายกฯเศรษฐาที่ไม่เคยออกมาให้สัมภาษณ์ หรือแถลงปิดคดีนอกศาลเลย โดยให้ความเคารพกับการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญเป็นอย่างดี ควรที่จะเป็นแบบอย่างของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกคนต่อไป
2. ถ้านายกฯ เศรษฐา รอด?
ประเมินว่า น่าจะมีโอกาสรอด 50/50
ถ้ารอด เชื่อแน่ว่า คงจะมีการปรับ ครม.
ถ้าเปรียบกับการแข่งขันฟุตบอล เมื่อรอดคดี ก็เหมือนทีมกลับมาตีเสมอได้ช่วงท้ายเกม ก่อนหมดครึ่งแรก
ครึ่งหลัง จึงต้องมีการแก้เกม ปรับแผนการเล่น เปลี่ยนตัวผู้เล่นบางส่วน เพื่อเพิ่มความสด เพิ่มแรงขับเคลื่อนเพื่อทำประตูแซงให้ได้
เชื่อว่า พรรคร่วมรัฐบาลคงเหมือนเดิม แต่จะตั้งรัฐมนตรีเก้าอี้ที่ว่างอยู่ หรืออาจเปลี่ยนหน้ารัฐมนตรี
ทั้งนี้ ตามโควตาสัดส่วนพรรคร่วมเดิม
3. ถ้านายกฯ เศรษฐา สิ้นสถานะ ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง?
ถ้าไม่รอด ประเทศก็ไม่ได้ถึงทางตัน เพียงแต่จะต้องเลือกนายกฯ คนใหม่ในสภาผู้แทนราษฎร
ทางเลือก เส้นทางการเมือง จะเป็นอย่างไร?
3.1 พรรคร่วมชุดเดิม เจรจาพูดคุย จะเสนอใครเป็นนายกฯ?
(1) เสียงรัฐบาลปัจจุบัน มีเสถียรภาพมากถึง 314 เสียง
มากถึงขนาดว่า ถ้ามีอุบัติเหตุ สามารถใช้เสียงรัฐบาล รวมกับเสียง สว.สีน้ำเงินอีกราว 150 เสียง ก็สามารถเสนอเลือกนายกรัฐมนตรีจากนอกบัญชีพรรคการเมืองได้ด้วยซ้ำ
แต่ทางนี้ คงเป็นทางสุดท้ายจริงๆ หากในอนาคต บ้านเมืองเกิดสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้
(2) ทางที่เป็นไปได้มากที่สุด แน่นอน นายกฯจะต้องเป็นบุคคลที่พรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคที่มีเสียงสส. มากสุดในฝ่ายรัฐบาล เห็นชอบ หรือยอมรับได้
พรรคเพื่อไทย มี 3 ชื่อ ในบัญชีนายกฯ ได้แก่ นายเศรษฐา นางสาวแพทองธาร และนายชัยเกษม
หากอุ๊งอิ๊งพร้อมรับชะตากรรม พร้อมรับผิดชอบทางกฎหมายด้วยตัวเอง พร้อมอยู่ใต้การกำกับควบคุมตามกฎหมาย ป.ป.ช. ภายใต้สถานการณ์การเมือง ด้วยเครดิตและต้นทุนทางการเมืองที่ต่ำแบบในปัจจุบัน พรรคเพื่อไทยก็คงจะเสนอชื่ออุ๊งอิ๊ง และพรรคร่วมก็คงไม่ขัดข้อง
นายกฯ คนถัดไป ก็จะชื่อว่า “แพทองธาร ชินวัตร”
(3) แต่ถ้าอุ๊งอิ๊งไม่พร้อม สถานการณ์ยังไม่เหมาะ อายุยังน้อย ยังสะสมบารมี รอคอยได้
นายชัยเกษม ก็จะเป็นตัวเลือกที่มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ เพราะนายกฯจะต้องเดินทางไปต่างประเทศ ต่างจังหวัด ภายใต้สถานการณ์การเมืองที่ดุเดือดทั้งในสภา-นอกสภา และในต่างประเทศจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก
หรือหากพรรคเพื่อไทยคิดจะเสนอชื่อนายเศรษฐากลับมาเป็นนายกฯอีกรอบ ก็คงจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอย่างรุนแรงเช่นกัน เพราะเพิ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญลงโทษให้พ้นจากตำแหน่ง พรรคร่วมบางส่วนอาจไม่อยากร่วมเสี่ยงว่าจะลงมติเลือกนายกฯ ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมเสียเอง กลายเป็นบ่วงและเงื่อนไขทางการเมือง
มีโอกาสอยู่บ้าง ที่พรรคเพื่อไทย จะรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง หรืออดเปรี้ยวไว้กินหวาน
ยินยอมให้นายกฯ คนใหม่มาจากพรรคร่วมรัฐบาล ภายใต้เงื่อนไขบางประการ หรือจำยอมเพราะไม่มีตัวเลือก
ถ้าเช่นนั้น คนที่มีโอกาสมากที่สุด ตามกติกาและมารยาท ก็คงจะไม่พ้น “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พรรคร่วมที่มี สส.รองจากพรรคเพื่อไทย
เว้นแต่ว่า พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ จะมี สส.เพิ่มมากขึ้นเฉียบพลัน จนมากกว่าภูมิใจไทย
เชื่อว่า นายอนุทินน่าจะพร้อม จากประสบการณ์ เคยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลลุงตู่ เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณ และเป็นรองนายกฯ ในรัฐบาลเศรษฐาปัจจุบันด้วย
นอกจากนี้ นายอนุทิน น่าจะทำงานสอดประสานกับวุฒิสภา ที่มี สว.สีน้ำเงิน (สีธงไตรรงค์) มากกว่า 150 คน ได้อย่างราบรื่นด้วย
นี่คือโอกาสและความเป็นไปได้ ตามสมการการเมืองที่เป็นอยู่จริง ตามกติกาการเมืองปัจจุบัน
ไม่ใช่ในโลกอุดมคติ
3. 44 อดีตสส.ที่เคยสังกัดพรรคก้าวไกล จะรอดหรือไม่ ?
ล่าสุด นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบจริยธรรม 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกล ที่เข้าชื่อเพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
โดยระบุว่า ขณะนี้ ได้นำเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.แล้ว และมีมติการตรวจสอบมีมูลเบื้องต้นมีพยานหลักฐานตามแนวความคิดเห็นของศาลรัฐธรรมนูญ โดยคณะกรรมการป.ป.ช.ก็มีมติสั่งไต่สวนทั้ง 44 สส.
“...ส่วนข้อเท็จจริงยังอยู่ในระหว่างการไต่สวน เรายังไม่ได้ให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งจะมีการเปิดให้ผู้ต้องหาชี้แจงต่อไป” – เลขาฯ ป.ป.ช.กล่าว
ลองพิจารณาว่า สส.ก้าวไกลเดิม 44 คน ที่ลงชื่อเสนอแก้ไข ม.112 ยื่นต่อประธานสภาสมัยที่แล้ว
สส.คนใดบ้าง ที่มีพฤติกรรม นำเรื่องแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ไปเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือหาเสียงต่อไปด้วย ซึ่งจะเข้าตามลักษณะที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้ส่วนหนึ่งว่า
“...พฤติการณ์ของผู้ถูกร้องที่เสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันมีเนื้อหาเป็นการลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ และใช้เป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงเลือกตั้งโดยการใช้ประโยชน์จากสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อหวังผลคะแนนเสียงและชนะการเลือกตั้ง เป็นการมุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะคู่ขัดแย้งกับประชาชน ... ผู้ถูกร้อง (พรรคก้าวไกล) มีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทําลายสถาบันพระมหากษัตริย์หรือทําให้อ่อนแอลง อันนําไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด
....การกระทําของผู้ถูกร้องจึงเข้าลักษณะการกระทําการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอีกด้วย...”
อย่างน้อยที่สุด สส.คนใด ที่มีพฤติกรรมเช่นนั้นก็ย่อมน่าจะมีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
ยกตัวอย่าง สส.หลายคน ที่แสดงการเคลื่อนไหวสนับสนุน หรือเอาเรื่องสนับสนุนการยกเลิกมาตรา 112 ไปโพสต์สนับสนุนตามเฟซบุ๊กของตนเอง
ล่าสุด หัวหน้าพรรคประชาชน ก็เป็น 1 ใน 44 สส.หลังศาลรัฐธรรมนญอ่านคำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล ยังประกาศกร้าวเพื่อหวังผลทางการเมือง ระบุว่า จะไม่ลดเพดานการแก้ มาตรา 112 แถมยังปรากฏว่าเคยโพสต์ข้อความและทำกิจกรรมเคลื่อนไหวสนับสนุนการแก้หรือยกเลิกมาตรา 112 ด้วยตนเองอีกด้วย แบบนี้ ก็คงจะต้องไปแก้ตัวกับ ป.ป.ช.เหนื่อยหน่อย กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ชัดเจน
และเชื่อว่า ด้วยกฎแห่งกรรม อีกไม่นาน จะมีสส.ก้าวไกลเดิม พ้นจากตำแหน่ง หรือเข้าคุกไปอีกหลายคน
หลายคนที่มีคดี 112 ถูกศาลตัดสินว่าผิด โทษจำคุกแต่คดียังไม่ถึงที่สุด
หลายคน มีคดีอื่น น่าจะมีคำพิพากษาในอีกไม่นาน
หลายคน อาจจะเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ไม่ติดคุก แต่ต้องถูกลงโทษ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไป ฯลฯ
ทั้งหมด ไม่ใช่เพราะอะไรอื่น แต่เป็นเพราะผลกรรม คือ ผลจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้น
ประเทศไทย ใครจะทำอะไรก็ทำ แต่ต้องพร้อมรับผลกรรมที่ตามมา
ตอนนี้ กรรมเพิ่งเริ่มเช็คบิล จากความเหิมเกริม เยียบย่ำสถาบันที่ประชาชนคนไทยตัวจริงเคารพรักและศรัทธา
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี