ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 วินิจฉัยสั่ง “ยุบพรรคก้าวไกล” อันเกิดจากการกระทำของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล โดยสส.จำนวน 44 คน ที่เสนอร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ..เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ผลจากคำวินิจฉัยดังกล่าว จะเป็น “ข้อบ่งชี้สำคัญ” ที่ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบเอาผิดจริยธรรมร้ายแรง กับ นายพิธา และ สส.พรรคก้าวไกล จำนวน 44 คน ที่ยื่นร่างแก้ไขกฎหมายดังกล่าว
1) ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยตอนหนึ่งว่า คดีนี้ (ยุบพรรค) กับคดีตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 เป็นคดีรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกันและมูลคดีเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญย่อมไต่สวนพยานหลักฐานในมาตรฐานเดียวกัน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติแล้วในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ว่าพฤติการณ์ดังกล่าวของผู้ถูกร้องเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 211 วรรค 4 บัญญัติว่า“คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภาคณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ”
“ข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมต้องผูกพันศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ด้วย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ว่าพฤติการณ์ของผู้ถูกร้องที่เสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อันมีเนื้อหาเป็นการลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ และใช้เป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงเลือกตั้งโดยการใช้ประโยชน์จากสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อหวังผลคะแนนเสียงและชนะการเลือกตั้ง เป็นการมุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะคู่ขัดแย้งกับประชาชน ผู้ถูกร้องมีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์หรือทำให้อ่อนแอลง อันนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด”
คำวินิจฉัยดังกล่าว จึงย้อนกลับมาที่คดีของพรรคก้าวไกล ซึ่งค้างอยู่ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มีผู้จองกฐินเอาผิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ให้ตัดสิทธิตลอดชีวิต
1) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีการพิจารณาคดี 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกลที่ลงชื่อแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 กล่าวว่าเรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรม ซึ่งต้องให้มีการไต่สวนให้ปากคำชี้แจงไป ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องมาตรฐานจริยธรรม โดยทางป.ป.ช.จะยื่นต่อศาลฎีกาโดยตรง หลังจากนั้นศาลฎีกาจะดำเนินการไต่สวน และหลังจากนั้นหากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า อาจจะมีการไต่สวนพยานเพิ่มเติม
เมื่อถามว่าป.ป.ช.มีความเป็นห่วงในคดีดังกล่าวหรือไม่ พล.ต.อ.วัชรพลกล่าวว่าไม่เป็นห่วง เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายและข้อเท็จจริง ซึ่งต้องมีการชี้แจง พร้อมยืนยันว่าป.ป.ช.จะให้ความเป็นธรรม ส่วนจะเรียกให้ 44 สส.มาชี้แจงเมื่อใดนั้น ตนคิดว่าคงไม่ช้าซึ่งจะต้องเป็นไปตามกระบวนการ
เมื่อถามว่า จะส่งเรื่องให้ศาลฎีกาได้เมื่อใด พล.ต.อ.วัชรพลกล่าวว่า ไม่สามารถตอบได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องของสำนักไต่สวนป.ป.ช. แต่ถึงอย่างไรก็คาดว่าไม่น่าทันช่วงที่ตนยังดำรงตำแหน่งอยู่ เนื่องจากจะหมดวาระในช่วงอีก 4 สัปดาห์ข้างหน้า
2) นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติไต่สวน 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกล ที่ลงชื่อเสนอแก้ไขกฎหมายมาตรา 112ว่า อาจเข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งนายรังสิมันต์เป็นหนึ่งในนั้น ว่า แน่นอนว่า ป.ป.ช.มีอำนาจตรวจสอบ แต่ผู้ใช้อำนาจก็ต้องมีความรับผิดชอบ หากใช้อำนาจแล้วนำไปสู่การกลั่นแกล้ง ก็ต้องรับผิดชอบตัวเองเช่นเดียวกัน
นายรังสิมันต์กล่าวว่า การจะชี้ว่าเรากระทำผิดและอาจส่งเรื่องไปให้ศาลฎีกาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยนั้น ก็ต้องไปดูว่า ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นธรรมหรือไม่ มีการดูพยานหลักฐานเพียงพอหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การใช้อำนาจขององค์กรต่างๆ ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานการทำหน้าที่ของสส.ด้วย และอย่างที่ทราบเราเสนอกฎหมายตามขั้นตอน มีการตรวจสอบโดยสภา ซึ่งสุดท้ายกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ถูกบรรจุในวาระด้วยซ้ำ ดังนั้นก็ต้องไปดูว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร และเราจะจับตาดูเรื่องนี้เป็นพิเศษ
ตนเป็นคนที่ร้องเรียนเรื่องต่างๆไปยังป.ป.ช.เยอะมาก ซึ่งแต่ละเรื่องไม่ทราบว่ามีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง แต่ทำไมคดีที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกลอย่างพวกเรา ทุกอย่างดูรวดเร็วแต่เรื่องอื่นดูช้าไปหมด ดังนั้น ป.ป.ช.ต้องตอบคำถามสังคม หรือ ป.ป.ช. มีเอาไว้แค่ตรวจสอบสส. ที่เคยอยู่พรรคก้าวไกลใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นระบบการตรวจสอบของประเทศไทยน่าเป็นห่วงมาก
เมื่อถามว่า มองว่าการเสนอแก้กฎหมาย ถือว่าเข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนมองว่าไม่ผิด มีกฎหมายอะไรเขียนว่าเราห้ามเสนอแก้กฎหมาย ทางมาตรา 112 หรือเรื่องใดๆ ทุกอย่างอยู่ที่ว่าคุณจะตีความแบบใด เราก็ตีความว่า เราเคารพในสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่หากไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่เราเสนอ และใช้อำนาจสั่งให้หยุดการกระทำ เราก็เข้าใจ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือการยุบพรรค ซึ่งตนรับไม่ได้
3) รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล ผู้อํานวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย ซึ่งวันก่อน ได้เดินทางมาให้กำลังใจและร่วมบริจาคเงินเข้าพรรคประชาชน จำนวน 3,000 บาท แต่ไม่ได้สมัครสมาชิก เพราะจะวิพากษ์วิจารณ์การเมืองไม่ได้
โดย รศ.ดร.ธนพร กล่าวว่า ที่บริจาคเงินสนับสนุนเพราะพรรคนี้มีความแน่วแน่ที่จะต่อสู้ทางการเมือง แม้จะโดนรุมย้ำรุมกระทืบมากแค่ไหน ก็ต้องมาให้กำลังใจกัน เพราะสิ่งเหล่านี้ตนคิดว่าเป็นบททดสอบที่จะต่อสู้เอาชนะทางการเมือง ซึ่งถือว่าไม่มีพรรคการเมืองไหนเคยทำมาก่อนในประวัติศาสตร์ ที่ผ่านมาไม่ว่าพรรคไหนถูกยุบก็จะหมดสภาพ ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะเดินต่อ ดังนั้น จึงถือว่าเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะช่วยการสนับสนุน เพื่อให้พรรคการเมืองแบบนี้เดินหน้าต่อไปได้ ส่วนจะชนะในการเลือกตั้งหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราทุกคนในโอกาสต่อไป
พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงพรรคประชาชนกับคณะก้าวหน้า ว่าคณะก้าวหน้ามีหน้าที่ปรับปรุงทางความคิด แต่พรรคมีหน้าที่เป็นตัวแสดง ซึ่งในทางกฎหมายความสัมพันธ์นี้เป็นสิ่งที่ต้องจัดวางกันให้ดี มิฉะนั้นแล้วจุดแข็งจะกลายเป็นจุดอ่อน เพราะนักร้องจ้องจะร้องอยู่แล้ว และขณะเดียวกันมีการพูดถึงว่าพรรคประชาชนมีนายใหญ่หลายคน คอยสั่งซ้ายขวา ซึ่งพรรคการเมืองอื่นก็เป็นแบบนี้ จึงต้องมีการจัดวางความสัมพันธ์ให้ดี เพราะวันนี้มีตัวตึงจากพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลไปรวมอยู่ในคณะก้าวหน้า จึงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง หากจัดวางความสัมพันธ์ไม่ดี พรรคประชาชนจะมีนายใหญ่หลายคน อาจส่งผลกระทบทางการเมืองในระยะยาว
เมื่อถามว่ามองอย่างไรกับการที่นำรายชื่อของคนที่ 44 คน ที่เสนอร่างแก้ไขมาตรา 112 มาเป็นกรรมการบริหารพรรค รศ.ดร.ธนพร กล่าวว่า เรื่อง 112 ตนมองว่าพรรคต้องยืนหยัดเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ตนก็สนับสนุนทางนี้ เพราะถ้าพรรคประชาชน ถอยเรื่องนี้ก็ถือว่าเสียความเป็นตัวตนของพรรค
สำหรับเรื่อง 44 สส.ที่ถูกร้องสอบเรื่องจริยธรรมกรณีเสนอแก้ม.112 นั้น รศ.ดร.ธนพร กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ของตน คิดว่าจะไม่รอดสักรายเดียว เพราะขั้วอำนาจเดิมเขาลงแรงขนาดนี้ มันไม่มีเหตุผลที่จะยั้งมือ มีแต่จะเอาให้ตาย ถอนรากถอนโคน สส.ตัวตึงต้องเตรียมตัวไปต่อสู้ในชั้นป.ป.ช. เพราะการต่อสู้ในชั้นศาลต้องยอมรับว่ามีหลากวิธีหลากมุมมอง หากดูกฎหมายจากมาตรา 92 และมาตรา 93 เรื่องยุบพรรค ทีมกฎหมายของพรรคประชาชนต้องไปทำการบ้านมาใหม่ เพราะ 2 มาตราดังกล่าว เป็นการต่อสู้ในทางกฎหมายโดยแท้ ตนจึงคิดว่าหากมีความอ่อนด้อยในการต่อสู้ทางกฎหมายอย่างนี้อยู่ โอกาสที่ 44 คนนี้จะรอดไม่มี ตนจึงขอฟันธงล่วงหน้าว่าหากไม่มีการปรับทีมกฎหมาย 44 คนนี้สูญพันธุ์แน่นอน
เมื่อถามว่าเหตุใดพรรคประชาชนจึงกล้าเสี่ยงเอาคนที่จะถูกตัดสิทธิมาเป็นกรรมการบริหารพรรค รศ.ดร.ธนพร กล่าวว่า พรรคก้าวไกลไม่มีทางเลือกอะไรมาก หากไม่เอาคนกลุ่มนี้ขึ้นมานำไว้ก่อนก็จะเสียความเชื่อมั่น จึงเป็นความจำเป็นของสถานการณ์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องติดตามกันต่อไป คือคนที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค และตนเชื่อว่ามีความสามารถจะเข้ามาทำหน้าที่ได้ แต่ขณะเดียวกันต้องติดตามฝ่ายผู้มีอำนาจ เพราะถ้าเขาลงมือขนาดนี้แล้ว คงจะผ่อนมือลง อย่าคิดในแง่ดีอย่ามองโลกสวย
สรุป : เนื่องจากเรื่องนี้ บางส่วนสืบเนื่องมาจากคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญที่ “ผูกพันทุกองค์กร” จึงคาดว่าน่าจะมีความคืบหน้าและผลสรุปได้ในเวลาไม่ช้าไม่นานนัก
ทั้งนี้ หากมีการตัดสิทธิ สส. ที่ร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ม.112 จริง รายชื่อ สส. ที่มีโอกาสถูกตัดสิทธิตลอดชีวิต คนสำคัญๆ จะประกอบไปด้วยพิธา ลิ้มเจริญรัตน์, เบญจา แสงจันทร์, ศิริกัญญา ตันสกุล,ณัฐวุฒิ เรืองปัญญาวุฒิ, รังสิมันต์ โรม, วิโรจน์ ลักขณาอดิศร, ณัฐวุฒิ บัวประทุม, ธีรัจชัย พันธุมาศ, ณัฐชาบุญไชยอินสวัสดิ์ และวาโย อัศวรุ่งเรือง เป็นต้น
จึงเป็นอีกคดีหนึ่งที่ต้องติดตามกันต่อไปด้วยใจระทึก!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี