ป.ป.ช. ได้เฝ้าระวังติดตามตรวจสอบเรื่องนี้
เพราะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศชาติมหาศาล
1. เมื่อวานนี้ สถานีข่าวท็อปนิวส์ ซึ่งได้ติดตามเรื่องนี้ รายงานข่าวว่า คณะทำงานพิจารณาลดค่าผ่านทางแลกกับการขยายสัมปทาน ซึ่งแต่งตั้งโดยกรมทางหลวง ได้สรุปผลการศึกษาว่า “ไม่เห็นด้วยกับการลดค่าผ่านทางแลกกับการขยายระยะเวลาสัมปทาน”
2. ก่อนหน้านี้ สำนักเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริต สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมทางหลวง เพื่อขอรับทราบข้อเท็จจริง กรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานทางยกระดับดอนเมือง (ดอนเมืองโทลล์เวย์) ระหว่างกรมทางหลวง (ทล.) กับบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน)
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง ทำหนังสือกรมทางหลวง ที่ คค 06005/7456 ลงวันที่ 7 ส.ค.2567 แจ้งถึงเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.
เรื่อง ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเจรจาแก้ไขสัญญาโครงการทางหลวงสัมปทานในทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 ถนนวิภาวดีรังสิต ตอน ดินแดง-ดอนเมือง และทางหลวงสัมปทานตอนต่อขยายทางด้านทิศเหนือของกรมทางหลวง
เนื้อหาสาระสำคัญ โดยสรุป ดังนี้
“...กรมทางหลวงได้มีคำสั่งที่ บ.1/1000/2567 ลงวันที่ 3 ก.ค.2567 แต่งตั้ง คณะทำงานพิจารณาการปรับอัตราค่าผ่านทาง โครงการทางหลวงสัมปทานในทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 ถนนวิภาวดีรังสิต ตอนดินแดง-ดอนเมือง และทางหลวงสัมปทานตอนต่อขยายทางด้านทิศเหนือ (โครงการฯ)
เพื่อศึกษา วิเคราะห์ แนวทางและความเป็นไปได้ในการชะลอการปรับขึ้นอัตราค่าผ่านทางของโครงการฯ ก่อนเสนออธิบดีกรมทางหลวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการต่อไป (คณะทำงานฯ)
...คณะทำงานฯ ได้มีการศึกษาและพิจารณาแนวทางความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราค่าผ่านทางของโครงการฯ รวมถึงได้เชิญบริษัทฯ เข้าให้ข้อมูลต่อคณะทำงานฯ และรับฟังความคิดเห็นเบื้องต้นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการดำเนินการปรับลดอัตราค่าผ่านทางของโครงการฯ
ผลการศึกษาและการพิจารณาของคณะทำงานฯ เห็นว่า การปรับลดค่าผ่านทางและการขยายระยะเวลาสัมปทานเพื่อชดเชยผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของบริษัท ยังไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการในขณะนี้
...เนื่องจากสัญญาสัมปทานจะสิ้นสุดลงในปี พ.ศ.2577 ซึ่งทรัพย์สินทั้งหมดจะตกเป็นของกรมทางหลวง ทำให้รัฐสามารถกำหนดอัตราค่าผ่านทางได้เองโดยไม่กระทบกับประชาชน เหตุใดกรมทางหลวงจึงไม่รอให้สัญญาสิ้นสุดแล้วดำเนินการเอง ?
จากผลการศึกษาและการพิจารณาของคณะทำงานฯ เห็นควรที่จะไม่แก้ไขสัญญาสัมปทาน โดยการปรับลดค่าผ่านทางและการขยายระยะเวลาสัมปทาน”
นอกจากนี้ กรมทางหลวงยังชี้แจงด้วยว่า ได้มีการขอข้อมูลรายได้ของทางยกระดับตอนเมืองในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา และขอนำเรียนสถิติรายได้ของบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2562 ถึง 2566 ดังนี้
จะเห็นได้ว่า ปี พ.ศ.2565 รายได้ค่าผ่านทางของบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,832 ล้านบาท และปี พ.ศ.2566 เพิ่มเป็น 2,325 ล้านบาท
พูดง่ายๆ ว่า เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังโควิด
สรุปว่า ผลการศึกษาของคณะทำงานฯ ที่ตั้งโดยกรมทางหลวง ระบุชัดเจนว่า “การแก้สัญญาสัมปทาน ‘ดอนเมืองโทลล์เวย์’ ยังไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการในขณะนี้”
3. กรณีนี้ นับเป็นข่าวดี
แต่น่าสนใจติดตามต่อไปว่า ฝ่ายการเมืองของกระทรวงคมนาคมจะเอาอย่างไร?
หากดึงดันเดินหน้าดำเนินการเพื่อให้มีการขยายสัมปทานแก่เอกชนซึ่งจะสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 11 กันยายน 2577 ย่อมจะถือเป็นข้อพิรุธสำคัญอย่างยิ่ง
กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา !!!
อย่าลืมว่า เมื่อสัมปทานดอนเมืองโทลล์เวย์สิ้นสุดลง รัฐก็จะสามารถบริหารจัดการและกำหนดค่าผ่านทางได้เอง
อาจจะไม่เก็บเลย หรือเก็บราคาเท่าใดก็ได้
ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ - Dr.Samart Ratchapolsitte เคยเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกไว้อย่างน่าสนใจ
ระบุว่า ที่ผ่านมา รัฐได้ขยายสัมปทานดอนเมืองโทลล์เวย์ให้เอกชนผู้รับสัมปทานไปแล้ว 2 ครั้ง รวม 20 ปี ทำให้ปีสิ้นสุดสัญญาสัมปทานถูกเลื่อนจากเดิมในปี 2557 เป็นปี 2577
เหลือแค่เพียง 10 ปีเท่านั้นที่สิทธิ์การบริหารจัดการโทลล์เวย์จะกลับมาเป็นของรัฐ ซึ่งจะทำให้รัฐสามารถลดค่าผ่านทางให้ถูกลงมาได้หรือจะให้ใช้บริการฟรีก็ได้ โดยไม่ต้องง้อเอกชน
ขยายสัมปทานครั้งที่ 1 ปี 2539 รัฐได้ขยายเวลาให้เอกชนเป็นเวลา 7 ปี ทำให้สัญญาสัมปทานได้รับการยืดเวลาสิ้นสุดจากปี 2557 เป็นปี 2564 โดยได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2539 เหตุที่ขยายเวลาให้เอกชนมีดังนี้
ขยายสัมปทานครั้งที่ 2 ปี 2550 รัฐได้ขยายสัมปทานให้เอกชนเป็นเวลา 13 ปี ทำให้สัญญาสัมปทานได้รับการยืดเวลาสิ้นสุดจากปี 2564 เป็นปี 2577 มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาในวันที่ 12 กันยายน 2550
เหตุที่ขยายเวลาให้เอกชนครั้งที่ 2 เพราะเอกชนจะยกเลิกข้อเรียกร้อง การฟ้องคดีต่อศาลและ/หรือการเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการที่เกิดขึ้นแล้ว หรืออาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานของรัฐที่เอกชนเห็นว่าทำให้รายได้ของเขาลดลง เช่น การก่อสร้างถนนเลียบทางรถไฟ (Local Road) การก่อสร้างทางเบี่ยงบนถนนวิภาวดีรังสิต การก่อสร้างสะพานลอยบนทางขนานของถนนวิภาวดีรังสิตที่แยกลาดพร้าวและแยกสุทธิสาร การย้ายสนามบินดอนเมืองไปสนามบินสุวรรณภูมิ และการจัดหาเงินกู้ผ่อนปรนไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ตกลงในอดีต เป็นต้น
เป็นที่น่าสังเกตว่า เอกชนจะเก็บรายละเอียดทุกอย่างซึ่งเป็นการดำเนินงานของรัฐและเขาเห็นว่าทำให้รายได้ของเขาลดลง แล้วนำมาเรียกร้องให้รัฐชดเชยโดยการขยายสัมปทานให้เขา ไม่เว้นแม้แต่การที่รัฐสร้างทางเบี่ยงบนถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งแทบไม่มีผลกระทบต่อดอนเมืองโทลล์เวย์เลย
ดร.สามารถชี้ให้เห็นด้วยว่า ค่าผ่านทางโทลล์เวย์แพงกว่าทางด่วนของรัฐมาก
“ขอเปรียบเทียบให้ดู โดยเปรียบเทียบค่าผ่านทางดอนเมืองโทลล์เวย์ซึ่งกรมทางหลวงให้สัมปทานแก่ DMT กับค่าผ่านทางด่วนเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1) และทางด่วนฉลองรัช (ทางด่วนอาจณรงค์-รามอินทรา-วงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออก) ซึ่ง กทพ.เป็นผู้ลงทุนก่อสร้างและประกอบการเอง
การเปรียบเทียบที่เป็นธรรมจะต้องเปรียบเทียบค่าผ่านทางต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร
ผมได้เปรียบเทียบสัดส่วนค่าผ่านทางสูงสุดโดยรถ 4 ล้อ ต่อระยะทางไกลสุดที่สามารถเดินทางได้จากการจ่ายค่าผ่านทางสูงสุดของโทลล์เวย์และทางด่วนดังกล่าว ผลการเปรียบเทียบมีดังนี้
(1) กรณีดอนเมืองโทลล์เวย์ ค่าผ่านทางสูงสุด 115 บาท ระยะทางไกลสุด(ดินแดง-ดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน) 21 กิโลเมตร ดังนั้น ค่าผ่านทางสูงสุด/กิโลเมตร เท่ากับ 5.48 บาท
(2) กรณีทางด่วนเฉลิมมหานคร ค่าผ่านทางสูงสุด 50 บาท ระยะทางไกลสุด (ดินแดง-ท่าเรือ-ดาวคะนอง) 19.2 กิโลเมตร ดังนั้น ค่าผ่านทางสูงสุด/กิโลเมตร เท่ากับ 2.60 บาท
(3) กรณีทางด่วนฉลองรัช ค่าผ่านทางสูงสุด 45 บาท ระยะทางไกลสุด (อาจณรงค์-รามอินทรา-วงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออก) 28.2 กิโลเมตร ดังนั้น ค่าผ่านทางสูงสุด/กิโลเมตร เท่ากับ 1.60 บาท
จะเห็นได้ว่าค่าผ่านทางดอนเมืองโทลล์เวย์แพงกว่าค่าผ่านทางด่วนเฉลิมมหานครถึง 110.8% และแพงกว่าค่าผ่านทางด่วนฉลองรัชถึง 242.5%”
4. ถ้ารัฐไม่ขยายสัมปทาน เอกชนจะไม่ลดค่าผ่านทางให้ แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี?
ดร.สามารถให้ข้อคิดเห็นเสนอแนะไว้ว่า
“...หากเราอดทนต่อไปอีก 10 ปี ก็จะถึงเวลาสิ้นสุดสัญญาสัมปทานดอนเมืองโทลล์เวย์ ถึงเวลานั้น รัฐจะมีสิทธิ์เบ็ดเสร็จในการบริหารและจัดเก็บค่าผ่านทาง ทำให้สามารถลดค่าผ่านทางให้ถูกลงได้ หรืออาจจะให้ใช้ฟรีก็ได้ ดังที่ได้เห็นตัวอย่างจากค่าผ่านทางด่วนเฉลิมมหานครและทางด่วนฉลองรัชซึ่งเป็นของ กทพ. มีอัตราค่าผ่านทางถูกกว่าดอนเมืองโทลล์เวย์มาก หรือส่วนต่อขยายดอนเมืองโทลล์เวย์ช่วงอนุสรณ์สถาน-รังสิต ซึ่งเป็นของกรมทางหลวง โดยกรมทางหลวงให้ใช้บริการฟรี
แต่จะให้ผู้ใช้บริการอดทนรอต่อไปเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้
รัฐควรที่จะเจรจาต่อรองให้เอกชนลดค่าผ่านทางลงมาด้วย ซึ่งรัฐสามารถทำได้ เนื่องจากมีหลายสิ่งที่รัฐได้ลงทุนดำเนินการเป็นการช่วยกระตุ้นให้มีรถขึ้นไปใช้ดอนเมืองโทลล์เวย์มากขึ้น เช่น
(1) รัฐได้ขยายเส้นทางดอนเมืองโทลล์เวย์จากอนุสรณ์สถาน-รังสิตโดยให้ใช้บริการฟรีทำให้ผู้ใช้ดอนเมืองโทลล์เวย์สามารถใช้เส้นทางได้ไกลขึ้นจากดินแดง-ดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน-รังสิต ระยะทางเพิ่มขึ้นเป็น 28.1 กิโลเมตร จากเดิม 21 กิโลเมตร
(2) รัฐได้ก่อสร้างทางเชื่อมต่างระดับกับถนนรังสิต-นครนายก
(3) รัฐได้ย้ายสายการบินจากสนามบินสุวรรณภูมิกลับมาที่สนามบินดอนเมืองเหมือนเดิม
(4) ที่สำคัญ อีกไม่นานรัฐจะก่อสร้างมอเตอร์เวย์รังสิต-บางปะอิน เชื่อมกับมอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช ที่ใกล้จะเปิดใช้
เหล่านี้ ล้วนทำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนหันมาใช้ดอนเมืองโทลล์เวย์กันมากขึ้น “แล้วทำไมจึงไม่ใช้สิ่งที่รัฐได้ดำเนินการเหล่านี้เป็นเหตุผลสำคัญในการเจรจาต่อรองให้เอกชนลดค่าผ่านทาง ไม่ใช่คิดได้เพียงแค่ขยายสัมปทานให้เอกชนเท่านั้น อย่าปล่อยให้เอกชนขี่คอเราอยู่ร่ำไป !”
นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีคมนาคม กระทรวงคมนาคม กรมทางหลวง มองเห็นสิ่งเหล่านี้บ้างหรือไม่?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี